วันนี้มาเต็ม..เต็มกับ Colosseum และ อาณาจักรโรมัน กัน
ย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณสองพันกว่าปี ที่อาณาจักรโรมันถือได้ว่าเป็นอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ที่สุด มีกษัตรย์ผู้ปกครองซึ่งล้วนแล้วแต่เก่งกาจ นำพาอาณาจักรไปสู่ความรุ่งเรืองมิรู้จบสิ้น
และบริเวณนี้ นี่เอง ถูกแบ่งแยกออกมาจากกรุงโรมโดยมีรายรั้วรอบด้านกั้นแบ่ง ได้ชื่อเรียกกันว่า Colosseum และ The Roman Forum
การจะเดินสำรวจให้ทั่วบริเวณColosseum และ อาณาจักรโรมัน จะต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวันเต็มๆเลยเชียว เพราะความจริง บริเวณแห่งนี้ก็คือเมืองเล็กๆอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งสภาพสิ่งก่อสร้างยังคงมีอยู่ให้เห็นอย่างเต็มตา
แต่ปริมาณของนักท่องเที่ยวก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบริเวณที่กว้างขวาง อดยิ้มนิดๆไม่ได้ เพราะคิดว่าจะไม่ได้ยินภาษาไทยที่นั่นซะแล้ว แต่เดินๆไป ก็เจอแม่-ลูกคู่หนึ่ง กำลังบอกเล่าโน่นนี่กันเป็นภาษาไทย ซึ่งเขาเองก็คงไม่คิดว่าจะมีใครเข้าใจเหมือนกัน (ดีนะ ที่ไม่นินทาเรา)
จุดนั่งพักบนชั้นสองของขอบกำแพง หลังจากที่เดินวนโดยรอบบริเวณ ก็จะมีบรรไดให้ไต่ขึ้นไปชมที่สูงๆขึ้นไปอีก หรือ ไม่ก็ลงใต้ดินไปเลย
The Arch of Constantine ประตูนี้ สวยงามที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมา ความวิจิตรบรรจงของงานศิลปที่ตรึงติดอยู่บนนั้น ทำให้รู้สึกได้ถึงความอดทน และความบากบั่นเพื่อสร้างสิ่งที่เขาภาคภูมิใจ
การได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น มันเหมือนมีมนต์ขลัง เหมือนมีพลังอะไรซักอย่าง บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าเหมือนเราได้ดูดซับช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ไปจริงๆ
ประวัติและที่มาต่างๆของสิ่งก่อสร้างทุกสิ่งในอาณาเขตอาณาจักรโรมัน มีชื่อเรียกและเรื่องราวทุกอย่าง แต่ถ้าจะให้เราเล่าให้ฟังก็คงต้องละไว้ เพราะเกรงว่าจะไปทำให้เรื่องราวเขาบิดเบือนซะ อย่างเช่น จุดนี้เป็นโบสถ์ซึ่งสร้างขึ้นทีหลัง ประมาณหนึ่งพันกว่าปี ปัจจุบันยังมีนักบวชอาศัยอยู่ข้างในเพื่อดูแลสภาพต่างๆให้คงไว้
จุดนี้เป็นบริเวณกลางๆของอาณาเขต จากในรูปตอนนั้นไม่หนาวเท่าไหร่แล้ว เพราะเดินมาก ไต่บรรไดก็เยอะ ทำให้อยากถอดเสื้อกันหนาวเหมือนกัน(แต่ใส่ไว้ดีกว่า น้องบีบี๋จะได้ชื่นใจ) ฮ่า..แต่ลองถอดแป๊บเดียว ก็ต้องใส่เหมือนเดิมละ เวลาลมมาทีก็สั่นทุกทีค่ะ
บริเวณเดียวกันละ หันมุมกล้องมาทางซ้ายอีกนิดแค่นั้น เราเดินเข้าไปสำรวจที่ลึกๆอย่างข้างในนั่นไม่ไหวจริงๆนะ คาดว่าน่าจะมีสิ่งก่อสร้างเป็นวัตถุโบราณเยอะแยะมากมาย
มองจากลานกว้างตรงกลางของอาณาเขตไปทางด้านใน จะเจออาคารนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เป็นที่ทำการของผู้ปกครองอาณาจักรโรมัน
และนี่ .. คือบริเวณรอบด้านนอกของColosseum ที่ซึ่งด้านในเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว เคยใช้เป็นเวทีการแสดงการต่อสู้ ทั้งคน นักรบ สัตว์ สิงโต ที่ซึ่งเคยมีกษัตริย์โรมันประทับชมอยู่หลายช่วงอายุ
วนไปอีกหน่อย มีสัญลักษณ์ไม้กางเขนสลักอยู่(นึกถืงสนามราชมังคลาบ้านเรามะ?)
โดยรวมแล้ว เราค่อนข้างทึ่งกับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นอย่างมาก นึกย้อนกลับไปว่าเขาทำได้อย่างไร ในเมื่อตอนนั้นมนุษย์ยังรู้จักโลกเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่นั่นแหละ ที่ทำให้เขาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุด เพราะความสามารถอันเก่งกาจนี่เอง
รูปนี้จะเห็นความกว้างของอาณาจักรมากหน่อย โดยรวมแล้วถือว่าอิตาลี่รักษาทุกอย่างไว้ใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุดจริงๆ
รอบนอกด้านในสุด(ไม่อยากจะบอกเลยว่าใกล้กับสุขา) เราเห็นมีหลุมฝังศพเรียงรายอยู่ประมาณ 5-6 หลุม จึงอยากถ่ายไว้เป็นทีระทึกหน่อย ข้างหลังเราที่เป็นพื้นเรียบๆนั่นแหละ
จุดนี้เป็นจุดชมวิวก็ว่าได้ เพราะถ่ายรูปมาจะได้วิวกว้างๆแบบที่เห็น แต่ต้องปีนบรรไดกันก่อนนะ
บริเวณด้านหน้าใกล้ๆกับประตูคิวซื้อตั๋วเข้าชมภายในColosseum ที่เห็นในรูปยังนับว่ากำจัดนักท่องเที่ยวออกไปจากสายตาได้เยอะแล้วนะ อ้อ..ที่นี่ ตามสถานที่ท่องเที่ยว ก็จะมีพวกหัวหมอคิดวิธีหาเงินได้อย่างเท่ๆอีกอย่าง คือการแต่งตัวให้เข้ากับสถานที่ เช่นที่นี่ก็แต่งเป็นนักรบโรมัน ถือดาบมายืนคอยเป็นนายแบบให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย แต่ถ้าใครหลงไปถ่าย โดนฟันหัวแบะเรยค่า รูปละเป็นพัน!
ตอนนี้เราเข้ามาในตัวอาคารซึ่งเคยเป็นที่กักตัวของกษัตริย์และนักบุญแห่งอาณาจักรต่างๆ ซึ่งต้องโทษเป็นเชลยศึกให้กับโรมันแล้ว เราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าคนที่เคยโดนกักขังที่นี่จะเป็นเชลยศึกอย่างเดียวหรือเปล่านะ แต่เขามีรายชื่อของผู้ที่โดนสำเร็จโทษสลักไว้บนแผ่นศิลาด้วย อ่านแล้วก็เจอแต่ชื่อกษัตริย์กับนักบวชทั้งนั้น
แต่ที่สนใจ คือ สถานที่เก็บโครงกระดูกของนักบุญท่านนี้ เซนต์ปีเตอร์(ถ้าจำชื่อผิดขออภัยอย่างแรง)เพราะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพลังของท่านด้วยว่า ไม่ใช่คนธรรมดา เรายังเห็นรอยมือที่ประทับลึก บุ๋มเข้าไปในกำแพงหินสีคล้ำๆได้เลย ป้จจุบันเจ้าหน้าที่ได้เอากรงมาครอบไว้เพื่อกันไม่ให้แตะต้อง แต่เราก็ยังแอบยื่นนิ้วเข้าไปจิ้มๆนิดหนึ่ง เล่าว่า ท่านใช้ฝ่ามือธรรมดานี่แหละ ทะลวงกำแพงหินนั่น และรอยสีคล้ำๆที่เห็นก็คือรอยเลือดจากมือท่านเอง ตอนนั้นเกิดจากการที่ท่านต้องโทษจากความผิดที่ไม่ได้ทำ และจึงบรรดาลโทษะทำให้เกิดปาฏิหารย์นี้ขึ้น
อีกหนึ่งปาฏิหารย์ที่เล่ากัน คือว่า ห้องนี้เป็นห้องใต้ดินที่ท่านนักบุญถูกคุมขังเป็นเวลานาน และไม่มีการส่งข้าวส่งน้ำ ที่สำคัญนักบุญต้องทำกิจแห่งพระเจ้า โดยใช้น้ำในอ่างมาจุ่ม ซึ่งอยู่มาวันหนึ่ง ก็เกิดน้ำหยดลงมาจากใต้เพดานของห้องใต้ดินนี้ บริเวณใกล้ๆกับหัวของผู้ชายคนนั้นแหละ โดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่มีที่มา ว่า
น้ำ มาได้อย่างไร?
ดังกล่าว ท่านนักบุญจึงประกอบกิจแห่งพระเจ้าได้ สำเร็จลุล่วง และถือเป็นปาฏิหารย์ที่ยังเล่าสืบกันมาแห่งกรุงโรมัน ตราบจนทุกวันนี้