วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

byebye Austria-Germany

และแล้ว..เวลาก็หมดลง การร่ำลาจึงมาถึงอีกครั้ง


January 2-3-4' 2009.
byebye Austria - Germany







นอนกันเต็มที่สำหรับคืนสุดท้ายที่ออสเตรีย ชดเชยให้กับพลังงานที่สูญเสียไปเมื่อวานจากการเดินย่ำตากหิมะชมเมืองกันทั้งวันอย่างไม่รู้เหนื่อย พอหัวถึงหมอนถึงได้หลับเป็นตายไปเชียว กว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปเกือบสิบเอ็ดโมงเช้าโน่น อาบน้ำแต่งตัวอย่างสบายๆ แล้วก็ลากกระเป๋าออกไปเช็คเอ้าท์กันเลย


ยังพอมีเวลาเดินชอปปิ้งกันเล็กน้อย ตอนแรกนิโคกะให้เวลาถึงบ่ายสองด้วยซ้ำ หลังจากหาอะไรกินกันแล้วเราก็ไปเดินร้านในฝันของแป้ง(มันฝันว่าจะต้องไปให้ได้ตั้งกะมาถึงแระ) ร้านของทะลึ่งไง ที่นี่เขาไม่เรียกเซ็กซ์ชอปนะ แต่มันก็ครือๆกันนั่นแหละ มีหมดทุกอย่างตั้งแต่หนังสือโป๊ หนังโป๊ ชุดชั้นในแบบโป๊ธรรมดาไปยันโป๊แบบเป็นเรื่องเป็นราว มีคอนเซ็ปท์ว่างั้น แส้เส้อ มีหมด ไมต้องบอกว่าไอ่ที่สาวๆเขาเอาไว้ช่วยตัวเองน่ะมีหรือป่าว มีหมดทุกไซส์ค่ะ เลือกไม่ถูกเรย เอิ๊ก อ๊าก กันเชียว แต่สรุปไม่ได้อะไรติดมือกลับออกมากันซักอย่าง ฮี่ๆ อ่ะๆ ไม่ต้องถาม ไม่เสียดายหรอก ไม่ชอบของปลอม หุหุ


ร่ำลาออสเตรียกันด้วยร้านของทะลึ่งและแวะซื้อขนมไว้กินระหว่างทางกันหน่อย จึงได้สตาร์ทรถออกเดินทางกลับบ้านที่สตุร์ทการ์ท/เยอรมันกันตอนบ่ายโมง ระหว่างทางยังมีหิมะโปรยปรายเป็นระยะๆ แต่พอเข้ามาแถวบ้านแล้วค่อยอุ่นขึ้นหน่อย ถึงสตุร์ทการ์ทกันสี่โมงกว่า มืดตื๊อแล้วอ่ะ จะแวะซื้อมะละกอไปตำส้มตำอีกเพราะคุณแป้งเรียกร้อง แต่มะละกอไม่มีมาส่งอีก อดไป ต้องใช้แครอทแทน เอาน่า พอกล้อมแกล้ม แต่วันนี้ตำไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่เรย คงเพราะทำเยอะไปหน่อยน่ะ มีตำถั่วด้วย



ตุ๊กตาสองตัวนี่งัย! ที่ซื้อมาจากแบลคฟอเรส น่ารักจริงๆเลย เสียดายมั่กๆ น่าจะซื้อมาเยอะๆ




กลับบ้านมา นิโคแวะไปรับแกรี่ที่บ้านแม่อีกครั้ง พอมาถึงหน้าจ๋อยมาเลย ปรากฏว่าคุณแกรี่ตัวป่วนไปทำแจกันเก่าแก่สมัยร้อยกว่าปีที่แล้วของแม่นิโคตกแตกซะ จ๊ากก..เล่นของแพงเชียวนะนั่น นิโคต้องแจ้งประกันบอกว่าตัวเองเป็นคนทำแตกเลย ที่นี่เขาดีอย่างนี้แหละ ทุกอย่างทำประกันได้หมด เฉพาะอวัยวะของคุณเพื่อนๆเทอก็เล่นฟันกันอย่างแรกเลย เพราะทำฟันที่นั่นแพงหูฉี่




วันที่ 3 มกรา วันสุดท้ายที่มีเวลาเล่นกับแกรี่อยู่ที่บ้านที่สตุร์ทการ์ท เลยออกมาเก็บรูปที่ระเบียงหน้าบ้านแป้งไว้ด้วย บ้านแป้งเป็นคอนโดอยู่ชั้นสามน่ะ แต่ละชั้นมีเพียงสองห้องเท่านั้นที่จะใช้บรรไดร่วมกัน จึงไม่วุ่นวาย แล้วเขาก็จัดระเบียบกันได้เป็นอย่างดี มีห้องเก็บของให้ทุกหลังที่ห้องใต้ดิน มีพท.วางเครื่องซักผ้าของใครของมัน ตอนแรกเรานึกว่าเป็นเครืองหยอดเหรียญของตึกเหมือนเมืองไทย แป้งหัวเราะบอกบร้าสิ ซื้อมากันเองว่อย เออ..ก็ดีเนอะ วันไหนไม่มีใครเห็นก็แอบใส่เครื่องของคนอื่นได้ด้วย ฮี่ๆ (อ่ะ..นิสัยคนไทยมาอีกแระ)




นี่ห้องนอนเรา ผ้าปูที่นอนจัดไว้ให้โดยเฉพาะคนรักแมวอย่างพวกเรา ถูกใจจิงๆ ห้องนี้เป็นห้องแขก มีคอมพิวเตอร์ตั้งไว้ เราเลยได้ครองอยู่บ่อยๆ แย่งนิโคเล่นเกมส์ ฮี่ๆ อ้อ..อีกอย่าง ที่ตึกนี้เขามีโรงรถอยู่ข้างนอกให้แต่ละหลังด้วยนะ ส่วนตัวมั่กๆเรย แล้วก็ขยะอีก ต้องแยกกันทุกประเภท ห้ามทิ้งปะปนกัน ใครทำผิดกฏมีตำรวจตรวจขยะตามมาเคาะถึงหน้าประตูบ้าน เอ้า..ไม่ได้ล้อเล่นนะ เรื่องจริง เขาทำเป็นรายการโชว์ทางทีวี เหมือนประเภทรายการตามหาความจริงอะไรประมาณนั้นเลย เห็นแล้วเชื่อว่าทำไมเยอรมันถึงได้สะอาดและเป็นระเบียบมากมาย โห่..เป็นคนไทยต้องปรับตัวอีกนานนะนั่น




ตกเย็นวันนี้ เพื่อนตั้งใจเต็มที่จะพาเราไปเลี้ยงที่ร้านสุดโปรด ร้านเอเซียเวิล์ด แต่ไม่ได้จองไว้เพราะคิดว่าช่วงปีใหม่คงไม่ค่อยมีคน ตอนกลางวันไปชอปปิ้งซื้อของกันจนเย็นย่ำถึงมืดจึงได้เวลาหิวพอดี หกโมงกว่าไปถึงที่ร้านกัน ปรากฏว่าคนเต็มค่ะ ไม่มีโต๊ะให้นั่งเลย ต้องรอถึงสองทุ่ม จ๊ากกก..ใส้กิ่วกันพอดี ทำไงได้ อยากกินก็ต้องรอ แต่ในระหว่างรอเราก็เลยเดินไปห้างใกล้ๆ เดินซื้อขนมนมเนยกินกันตายไปก่อน วันนี้ชอปรายการของฝากโดยเฉพาะเลยนะเรา เริ่มด้วยสารพัดชอคโกแลตก่อนอื่น หอบมาเต็มคันรถจนแป้งยังโอ้โห.. จากนั้นก็ของสดประเภทใส้กรอกเยอรมัน อันนี้เอามาฝากตัวเองและแม่ที่บ้าน แล้วเราก็ได้น้ำหอมเป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเองล่วงหน้าหนึ่งขวด ลดราคาเยอะมาก จาก 38 ยูโรเหลือ 20 ยูโร เราไม่ค่อยบ้าน้ำหอมเลยเอามาแค่ขวดเดียว ถ้าเป็นคนอื่นสงสัยกวาดหมดแน่ แต่เขาก็ลดเยอะๆเป็นอย่างๆนะ ไม่ได้ทุกยี่ห้อ


ในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง ได้กินกันซักที ก็ดีแหละเพราะรอนิโคกลับมาจากไปทำธุระที่บ้านแม่ด้วย ที่นี่เขาเป็นบุฟเฟ่ประมาณโออิชิแกรนด์น่ะ แต่ว่าของอาจจะน้อยกว่าหน่อย หัวละ 15 ยูโร ก็ไม่แพงนะ กินกันไม่อั้นเลย เราเน้นๆกันที่ของทะเลแล้วก็สารพัดเนื้อทำเสต็ก กินกันจนพุงกาง ตบท้ายด้วยของหวานอีก ของเราล่อไปสามจาน แต่ของแป้งเยอะกว่าอีกแน่ะ โห..มันทำด้าย เชื่อเรย

แต่มีเรื่องนิดหน่อย เกือบได้ตบเด็กแขกประมาณแขกเติร์กแระ เป็นกลุ่มวัยรุ่น แมร่งคนต่อคิวรอกันยาวเหยียดพวกมันรึเล่นกันอยู่ด้าย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเลือกไม่ถูก กอดๆจูบๆกันอยู่นั่น หมั่นใส้นะเนี่ย ตอนรอคิวก็ทีหนึ่งแล้วนะ แต่ตอนที่เฉียดๆเอาจริงนี่สิ ตอนไปเข้าห้องน้ำ พวกมันมีกันประมาณหกคน ยืนออกันอยู่หน้าห้องน้ำทั้งผู้ชายผู้หญิง เราไปกะแป้งสองคน แป้งมันปิดประตูดังปังตามหลังพวกมัน มันเลยไม่ยอมไปไหน ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำกะจะให้เรากลัวไม่กล้าออกไป เชอะ..มีรึ อิช้านเปิดประตูผาง! อิตัวนึงเกือบล้มแน่ะ หน้าเหวอเรย จากนั้นช้านก็กวาดจิกด้วยสายตาไล่เรียงตัว ใครกล้าหือ? ไม่เห็นมันแอะกันสักนิด เราเลยเดินกันออกมาโดยเราเดินนำ แป้งเดินตาม พอเราเดินลับหลังมาแล้ว ถึงได้ยินเสียงพวกมันแกล้งหัวเราะกันฝืดๆ ชิช้า..หนอ่ยแน่ !!

ขอบพระคุณคุณเพื่อนอีกครั้ง ที่เลี้ยงส่งเราอย่างอิ่มหมีพีมันมั่กๆ แถมเกือบได้ใช้กำลังด้วย ฮี่ๆ แต่ก็ไม่มีอะไร กลับบ้านกันแต่โดยดี เตรียมเก็บกระเป๋าไว้ตั้งแต่ก่อนนอน เพราะพรุ่งนี้บิน 11 โมงเช้า ต้องออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า ไปให้ถึงสนามบินแปดโมง เช้ามากเลยค่ะ จึงต้องเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย อาบน้ำอาบท่าไว้ด้วย ตอนเช้าตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันอย่างเดียว อ้อ..ของที่จัดแพคไส่กระเป๋าไว้คุณเพื่อนก็เลยต้องลากกระเป๋าออกไปตั้งไว้ในตู้เย็นระเบียงแทน เพราะข้างในบ้านมันอุ่นมากกว่าข้างนอกบ้าน จึงเป็นการดีที่จะเอาบรรดาใส้กรอกกะชอคโกแลตไปเก็บไว้ที่ระเบียง
พอตื่นมาก็สงสารนิโคอีก ขับรถพาเราไปส่งสนามบินแฟรงเฟิต จากสตุร์ทการ์ทไปแฟรงเฟิตใช้เวลาเกือบสองชม. นิโคคนขับหลับไม่ได้ ส่วนเรากะแป้งผลอยกันเป็นระยะ พอมาถึงสนามบินก็ใจหาย ต้องจากกันอีกแล้วหรือนี่ ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็วจริงๆเลย...
ไม่อยากให้สัญญาว่าจะกลับไปรบกวนเพื่อนอีก แต่เพื่อนๆก็ขยั้นคะยอให้ตกปากรับคำว่าปีหน้าจะมาใหม่ ยังไง เราก็จะไม่มีวันลืมวันเวลาแห่งความสุขที่เยอรมันบ้านเพื่อนแป้งกะนิโคไปได้หรอก รู้ซึ้งถึงคำว่า "ความสุขอยู่ทุกที่ที่เราได้อยู่กับคนที่เรารักและรักเรา" เพราะถึงแม้ว่าเราจะอยากไปอิตาลี่มากกว่าเยอรมันก็ตามที แต่มันเทียบกันไม่ได้เลย ระหว่างช่วงเวลาที่อยู่อิตาลี่ กับ เยอรมัน
ขอบคุณจริงๆเพื่อน ที่ให้เวลาแห่งความสุขนั้น ชั้นจะไม่มีวันลืม...
คิดถึงน้องแกรี่อีกแล้วอ่า~~

วันอังคารที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

Happy New Year 2009!

January 1' 2009
Happy New Year 2009 Salzburg/Austria Yeh!!!!

เช้าวันปีใหม่ปีนี้ของเรา เริ่มต้นขึ้นอย่างชุ่มฉ่ำเพราะหิมะที่โปรยปรายลงมาตั้งแต่เช้ามืด และเรื่อยไปตลอดทั้งวัน เรียกว่าวันนี้เป็นวันเดินตากหิมะจริงๆจังๆเลยก็ว่าได้

นัดกันตื่นก่อนสิบโมงเช้า แป้งมาเคาะที่ห้องแล้วรีบเดินไปเปิดหน้าต่างเรียกให้เราไปดูหิมะที่กำลังโปรยปราย ตอนแรกก็ยังคิดว่าคงตกไม่นานเกินเที่ยง ไหนได้ ทั้งวันเลย ต้อนรับปีใหม่แท้ๆ แล้วเพิ่งรู้นะว่า หิมะที่ตกลงมาใหม่ๆนั้น จะเป็นรูปดาวหลายๆแฉกตามสัญลักษณ์ดาวๆที่ฝรั่งเขาติดไว้หน้าร้านจริงๆ สวยมากเลย

ว่ากันถึงเมืองนี้หน่อย salzburg เนี่ยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สวยงามอีกเมืองหนึ่งของออสเตรีย และคำว่า salz นั้นแปลว่า เกลือ หรือ salt ในภาษาอังกฤษอ่ะแหละ แสดงว่าที่นี่ต้องมีแหล่งเกลือธรรมชาติแน่ๆ มีจริงๆด้วย แต่ว่าไม่รู้มันอยู่ตรงไหน ฮี่ๆ และเกลือนี่สำคัญมากๆสำหรับประเทศที่มีหิมะตกเยอะๆ เพราะเกลือสามารถละลายหิมะและป้องกันไม่ให้มันตกลงมาทับตรงจุดที่โรยเกลือไว้ได้ด้วย ซึ่งเราจะเห็นรถตักหิมะที่ขับกวาดหิมะข้างหน้า ด้านหลังก็ปล่อยเกลือโรยตามทางมาเรื่อย พอมาเห็นของจริงถึงเข้าใจว่าเขาอยู่กันได้ยังไง เพราะถ้าไม่มีเกลือ ชาวบ้านชาวเมืองคงไม่ต้องขับรถออกจากบ้านไปไหนกันได้แน่ๆ
ที่เล่ามาทั้งหมดยังไม่ได้ตรงกับรูปทั้งสามที่เห็นไล่ลงมาเลย คราวนี้มาเรื่องนี้บ้าง อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือเมืองนี้เขาผ่าภูเขาทั้งลูกมาสร้างเป็นเมืองนะ อ่ะ..ย้อนกลับไปดูที่รูปแรกก็ได้ ข้างหลังที่ยืนนั่นเหมือนกำแพง แต่เป็นกำแพงหินผาประมาณกึ่งกลางของภูเขา ยอดเขาไม่สูงมากจนเกินที่จะขึ้นไปสร้างสิ่งปลูกสร้างได้ เราไม่ได้ขึ้นไปดูกัน เห็นว่าเป็นพิพิธภัณฑ์อะไรซักอย่าง ส่วนรูปที่สองและสามนั้น เรากำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ใต้ภูเขาลูกนี้กัน ซึ่งบ้านเราก็เรียกใต้ดิน แต่นี่มันไม่ถึงกับมีพื้นดินและอยู่ใต้ลงไป นึกเอาเองละกัน แต่ว่าที่เก่งคือ เขาสร้างอาคารที่จอดรถเป็นหลายๆชั้นใต้ภูเขาลูกนี้น่ะสิ ตามทางเดินก็มีรูปปั้น ปฏิมากรรมสวยงามติดไว้ให้นักท่องเที่ยวชมด้วย เก๋จริงๆค่ะ



เห็นสัญลักษณ์ขนมปังม้วนเป็นเลขแปดนั่นป่ะ? ของเจงต้องที่นี่จ้า ต้นกำเนิด อั๊นตี้แอนท์ ไม่ได้ลองชิมหรอกเพราะเห็นอย่างอื่นน่าหม่ำมากกว่า อาหารเช้าของพวกเรา ยืนกินกันท่ามกลางหิมะ ได้บรรยากาศมั่กๆ


นิโคไปด้อมๆมองๆ ท่าทางอยากกิน(เพราะคนนี้ชอบกินขนมเหมือนผู้หญิงเรย เม้าท์ค่ะ) ฮี่ๆ แต่ว่าเรากะแป้งหันไปเอาชีสร้อนๆโปะขนมปังเยอรมันอันหย่ายยักษ์มากินกัน แต่กินยังไงก็กินไม่หมด ต้องเก็บยัดใส่กระเป๋าไว้กินต่อ เดินไปซื้อน้ำองุ่นต้มมาดื่ม รสชาดไม่ได้เรื่อง สู้น้ำก๊อกศักดิ์สิทธิ์ที่รองมากินฟรีก็ไม่ได้



หน้าต่างร้านนี้เต็มไปด้วยเกลือที่เอามาทำเครื่องประดับ สวยงาม ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเป็นอะไร แป้งบอกเนี่ยเกลือยังไม่เชื่อ แป๊บเดียวเจ้าของร้านเอาผลึกเกลือออกมาวางโบะหน้าร้านให้มันละลายหน่อย ยืนยันด้วยก้อนใหญ่ถึงได้อู้หู .. ว๊าว!!



วันนี้ถ่ายรูปมากพอๆกับการเดินย่ำเท้าของพวกเรานั่นแหละ เดินกันทั้งวันจริงๆ แต่ไม่เหนื่อยนะเพราะหิมะและอากาศด้วยแหละ ถ้าซูมรูปดูดีๆ จะเห็นในหลายๆรูปมีหิมะที่กำลังโปรยลงมาด้วย


สามเหลี่ยมทองคำ เอ้ย..ไม่ใช่ ไอ่สามเหลี่ยมนั่นเป็นกล่องพลาสติกที่เขาเอามาคลุมกันหิมะช่วงนี้เท่านั้นเอง ข้างในเป็นรูปปั้นทำสำคัญ แอบไปส่องดูเห็นเหมือนรูปปั้นคน น่าจะเป็นคนสำคัญน่ะนะ แต่ว่าด้านนอกของพลาสติกสิ มีสารพัดภาษาเลยค่ะ ภาษาจีน ญี่ปุ่น ก็มีนะ ช้านเรยขอสลักภาษาไทยไว้มั่ง ฮี่ๆ ให้มันรู้ ใครมาเยือน เอิ๊กๆๆ


นี่อีกปฏิมากรรมหนึ่งที่เลื่องชื่อ แต่เราจำชื่อไม่ได้อ่า มองๆไปก็สงสารคนที่ยืนข้างบนนะ ตากหิมะซะหัวขาวเชียว ไม่รู้จะไปแกล้งเขาทำไม๊?


นี่! รูปนี้เห็นฝอยหิมะชัดเจนเลย ความจริงเรากำลังตั้งใจถ่ายกังหันน้ำแบบธรรมชาติ กังหันนี้เอาไว้ผลิตพลังงานอะไรสักอย่าง แต่คงไม่เยอะมากเพราะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แล้วมันก็ตั้งอยู่หน้าสุสารด้วย เข้าใจว่าคงจะทำอะไรให้สุสารน่ะ

จากมุมมองของแป้ง ขณะที่เรากำลังส่องกังหันน้ำอยู่ มานก็ส่องเราจากข้างหลัง ฮ่า แจ่มจ้า





เดินเข้ามาตามหาสุสารของโมสาร์ทกัน แต่หาไม่เจอ เลยเดาว่าเขาน่าจะเก็บไว้ในอาคารที่ใหญ่ๆข้างหน้านี่มากกว่า แต่ความรู้สึกของการเข้ามาเดินชมสุสารที่นี่ผิดกับที่อื่นเยอะเรย เพราะไม่น่ากลัวแต่กลับสวยงามน่าเดินชมมากๆ มีคนมาประดับตกแต่งหลุมศพช่วงคริสมาสต์เยอะเลยด้วย

ข้างหลังเรานั่นก็อีกหนึ่งรูปปั้น เป็นม้าล่ะ สวยงามเชียว แต่ก็โดนครอบด้วยพลาสติกเหมือนกัน เพราะหิมะสามารถกัดกร่อนทำลายรูปปั้นได้


เดินมาเรื่อย เจอลานสเก็ตน้ำแข็งของแท้ มีรองเท้าให้เช่าเล่นได้ด้วย แต่ไม่กล้าหรอก กลัวล้มปากแตกขายหน้าฝรั่งเขา ลานไม่ใหญ่มาก แต่ที่สำคัญมันได้บรรยากาศน่ะ


หน้าลานสเก็ตเลยเป็นร้านกาแฟและเบเกอร์รี่ที่อร่อยที่สุดของเมืองนี้ ได้รับรางวัลมาแล้วหลายปีซ้อน มีประวัติอันยาวนาน เราจัดแจงนั่งเลย โต๊ะก็แน่นเอี๊ยดกว่าจะกระโดดไปเกาะได้ พอได้คาปูชิโน่กับเค้กชอคขาวกับชีสแล้ว อ้าม..หยั่มๆๆๆ โลกสว่างขึ้นเยอะเรยอ่ะ



มีแรงเดินต่อ ไปเจอร้านไข่เข้า เขาเอาไข่มาประดิษฐ์เป็นไข่สวยงามตกแต่งต้นคริสมาสต์ แต่ละแบบสวยๆทั้งนั้นเลย เราว่าที่นี่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของการประกวดไข่ประดิษฐ์แน่ๆ มีหลายร้านมาก เป็นโซนไข่โดยเฉพาะ


ร้านขายของที่ระลึกเล็กๆ แต่ราคาไม่เล็กนะคะ แพงกว่าในร้านกระจกอีก เดาเอาว่าคงขายลำบากมากว่า เพราะหนาว จึงต้องตั้งราคาสูงกว่าในร้านกระจก

อุ๊ย..หุ่นเดี๊ยนน่ะ แจ่มกว่านี้อีกค่า ไม่ได้โม้ โหะๆๆๆ (นังแป้งยัดเยียดให้ไปยืนเทียบให้ได้เชียว ชอบนัก แต่พอเข้าร้านขายของพวกนี้จริงๆ ไม่กล้าซื้อกลับมาใส่ให้สามีดูสักตัว)

ชอบจริงๆ ของตกแต่งเนี่ย สวยๆทั้งน้าน เขาขายกันเยอะแยะเลยด้วย เป็นโซนๆไป


หน้าร้านกาแฟอีกร้านหนึ่ง มีต้นคริสมาสต์สองต้นยืนตากหิมะเป็นช่องให้คนเข้าไปแอบถ่ายรูปได้พอดี เอาซะหน่อย แชะๆๆๆ


ฮ่าๆ เราตั้งกล้องไว้เพราะตอนนี้ไม่อยากใช้แฟรช พอไม่ใช้แฟรชมือมันจะสั่น เลยเรียกแป้งเข้ามากระโดดโลดเต้นด้วย ไหงท่าไอ่แป้งออกมาเป็นลิงยังงั้นก้อไม่รุ หัวเราะกันกลิ้งเรยอ่ะ กรั่กๆๆ (แอบเอามาลงนะเนี่ย มานรู้เด่วโดนตบ)

แฮ่ม..มีรูปอุบาทว์ก็ต้องมีรูปสวยสิเนอะ ตั้งใจถ่ายสวยเอาวิวกันซะหน่อย นี่ยืนกันอยู่บนดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์หอศิลป์ ที่นี่ก็มีชื่อเสียงนะ แต่จำชื่อไม่ได้อีกแหละ แห่ะๆ ด้านล่างเห็นวิวเมืองซอลท์บูคเกือบทั้งเมืองเลย มีแม่น้ำเล็กๆไหลผ่านเมืองนี้ด้วย บ้านช่องทุกหลังคาคลุมด้วยหิมะหมดวันนี้

งานศิลป์เดียวที่เป็นที่รักของผู้พบเห็น แย่งกันจูบใหญ่เชียวเรา แต่มีบางคนนะ เอามือไปอุดจมูก แหย่ปากเขามั่งล่ะ น่าสงสารเชียว โถๆๆๆ แค่มีแต่หัวดำๆ แล้วเขาเอามาเสียบตากหิมะจนหัวขาวแบบนี้ก็แย่พอดูแล้วเนอะ ยังมาแกล้งหัวอีก
วันนี้จบลงที่นี่ แล้วเราก็กลับไปพักผ่อนเล็กน้อยที่รร. หายเหนื่อยจึงเดินไปนั่งกินสปาเกตตี้ร้านอาหารอิตาเลี่ยนใกล้ๆกับรร. ไม่แพงเลยร้านนี้ อร่อย พิซซ่าอบสดๆ น่ากินมากเลย(คนนวดแป้งก็น่ากิน อะหุ อะหุ)



วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

End of 2008 in Austria

December 31' 2008
End of 2008 in Salzburg/Austria

ยาฮู้!!! วันสิ้นปี 2008 มาถึงแล้ว รวมทั้งพวกเราสามคนที่ดั้นด้นมาถึงเมืองซอลท์เบริค ประเทศออสเตรียด้วย เย้!!!


จากที่เมื่อวานเตรียมตัวกันอยู่ท้างวัน วันนี้ตื่นแต่เช้านิโคเอาแกรี่ไปฝากไว้ที่บ้านแม่ก่อน แล้วค่อยขับกลับมารับพวกเราอีกรอบหนึ่ง แต่บ้านแม่ก็ไม่ไกลหรอก แค่สิบนาทีก็ถึงแระ วันนี้เอาหอบเสบียงกันมาพอประมาณอาหารไม่เน้นเท่าไหร่เพราะรู้ว่าไปหากินข้างหน้าได้ แต่กระเป๋าเสื้อผ้านี่สิ ไม่ใช่เล่น เพราะคุณเพื่อนกะแต่งสวยหล่อกันตอนเย็นไปดินเนอร์ส่งท้ายปีเก่าด้วย หู่..อิช้านเหมือนแม่บ้านเดินตามเรย


จากบ้านที่สตุทร์การ์ท ได้ขับรถใหม่สะดวกสบายกว่าซึ่งขอยืมมาจากพ่อนิโค เกือบ 4 ชม.เราก็ถึงชายแดนเมืองซอลท์เบิร์ค หรือ ซอลท์บูค นั่นแหละ ภาษาเขาเรียกยากนิสนุง โรงแรมที่เราจองทางอินเตอร์เนตกันนั้นอยู่ที่ไหนหว่า??? แวะรถเติมน้ำมัน(ซึ่งถูกกว่าในเยอรมันตั้งเกือบ 2 ยูโรแน่ะ) ถามเจ้าของร้านก็แล้วยังไปไม่ถูก ขับมาอีกหน่อยเจอแผนที่แล้ว รอดแล้วเรา


จุดบริการนักท่องเที่ยวเขาเก๋นะ ที่นี่อะไรๆก็ดูดีมีศิลปะไปหมดเรย สวยงามสมกับเป็นเมืองท่องเที่ยวมั่กๆ แล้วแผนที่ที่คุณเพื่อนไปจดๆจ้องๆนั่นนะ ใช้ระบบสัมผัสด้วย แบบว่าเราอยู่ที่นี่แล้วเราก็จิ้มๆหาที่ๆเราจะไป พอเจอปุ๊บ รายละเอียดของสถานที่นั้นก็จะขึ้นมาด้านซ้าย สะดวกมากๆเรย


ได้เห็นอย่างใกล้ชิดสนิทสนมสุดๆที่ตอนปลายเนี่ยแหละ เทือกเขาแอลป์อันใหญ่ยาว ตั้งแต่นิโคชี้ให้ดูที่มิวนิคจนมาถึงซอลท์บูค ยังไม่หมดดีเลยอ่ะ พยายามซูมสุดๆ แต่ถ่ายไม่เก่งเรยไม่ค่อยสวย ของจริงสวยมากๆ ยอดเขาขาวจั๊วเต็มไปด้วยหิมะแล้วสะท้อนแสงแดดด้วยนะ เป็นประกายเชียว


พอดึงซูมไกลออกมาหน่อย ดูเหมือนค่อยชัดขึ้น เอาน่า..เก็บได้แค่นี้ก็ดีถมไปแระ ความจริงไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ ระหว่างรอสองคนนั่นเขาหาทางไปรร.น่ะ ด้วยความหนาว ก็เลยได้มาแค่เนี้ย(อะไรทำไม่ดีก็โทดดินฟ้าอากาศซะงั้น)

พอถึงรร.ก็โล่งแระ ว๊าว!! มีอ่างให้แช่น้ำอุ่นด้วย ขอนอนแช่ให้สบายอารมณ์หน่อยเหอะ ไหนๆก็จ่ายตั้ง 150 ยูโรสำหรับสองคืนแล้วนี่

พอเก็บกระเป๋าเสร็จ เราก็ออกไปชมเมืองกันก่อนเลย ตอนนี้ขับรถได้ก็ควรจะขับ เพราะตอนกลางคืนหลัง 6 โมงเย็นเขาห้ามรถส่วนตัวเข้าเมืองนอกจากรถแท๊กซี่กับรถประจำทาง กฏเหล็กเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเสียง สำรวจเส้นทางเสร็จเราก็กลับมาอาบน้ำแต่งตัวนอนพักเอาแรงกัน รอเวลาออกไปดินเนอร์มื้อใหญ่ หูย..สบายสุดๆเรยที่นี่

เลือกกันอยู่ตั้งนาน ป่าวหรอก ความจริงไม่มีร้านเปิดขายต่างหาก นึกว่าจะต้องฝากท้องไว้กับบุฟเฟ่รร.ซะแว้ว ซึ่งเขาขายเป็นแพคเกจทั้งคืนด้วยนะ คืนนี้พิเศษตั้ง 85 ยูโรแน่ะ จ๊ากๆ ไม่หวายอ่า แพงกว่าค่าห้องอีก เลยมาลงที่บุฟเฟ่ร้านอาหารจีน ชื่อ ร้านข่าน ชื่อเหมือนมองโกเนอะ 22 ยูโร ก็โอเคน่ะ พอได้อยู่ไม่แพงมาก บรรยากาศร้านจัดได้หรูหราอลังการเต็มที่ สวยดีแต่ว่าไม่กล้าถ่ายมาทุกมุม ถ่ายแค่โต๊ะเราเท่านั้น เพราะคนเต็มแน่นเอี๊ยดกันทุกโต๊ะ เราเกือบไม่ได้ที่แล้วด้วยเพราะมาจองช้า ต้องรอหลังสองทุ่มครึ่งถึงค่อยมาหลังจากที่โต๊ะตอนหกโมงเย็นเขาเช็คบิลไปแล้ว

กินกันเต็มที่แต่ก็ไม่ได้มีอะไรให้กินมาก จนเกือบปิดร้านนั่นแหละรอเวลาใกล้ๆ 5 ทุ่มเราถึงย้ายก้นกันออกไปในเมือง งานนี้ต้องอาศัยแท๊กซี่แระ พาพวกเราไปจอดใกล้ๆแม่น้ำที่เขาเล่นดอกไม้ไฟ จุดประทัดกัน คนเยอะแยะเชียว เดินไปเดินมา เราก็เดินๆๆๆกะเขาด้วย ส่วนใหญ่ก็เดินไปแหงนหน้าดูท้องฟ้าไป แต่ดอกไม้ไฟเขาไม่อลังการ์เท่าเอเซียบ้านเราหรอก ถึงงั้นฝรั่งก็ตื่นเต้น สนุกสนานกันสุดๆ ความจริงอากาศหนาวมากนะ แต่พอคนเยอะๆ มันก็เลยไม่ค่อยรู้สึก อ้าว..เผลอแป๊บเดียว เขา Happy New Year Yeh!!!! 2009 มาแล้วหรอ???

ดีจัง ปีนี้มีคนอวยพรพร้อมอ้อมกอดให้เราตั้งสองคนแน่ะ อิอิ เพื่อนทั้งน้าน ขอบคุณมากๆจ้าคุณเพื่อนทั้งสอง ที่ทำให้นาทีแห่งปีใหม่ของช้านอบอุ่นกว่าปีไหนๆ
จากนั้นเราก็เดินๆๆๆ กะจะไปดูทุกซอกทุกมุมว่าเขาทำอะไร มีแสดงดนตรีด้วยนะ แต่แทรกเข้าไปไม่ถึง คนเมาเยอะเหมือนกัน เดินๆอยู่มีตาคนหนึ่งท่าทางเมาได้ที่เข้ามาจีบแป้ง แก่แล้วด้วยนะ เกือบโดนนิโคถึบเข้าให้แน่ะ แต่แป้งมันอาศัยปากหวาน จึงไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ เขาเดินจากไปแต่โดยดี เป็นเราหรือ? (ไปไกลๆตรีนนนนน)


ห้องช้าน เก๋ไก๋ น่ารักสุดๆ สองคืน 150 ยูโรก็โอเคน่ะ วิวด้านนอกไม่ต้องไปสนใจ เพราะเห็นว่ากำลังสร้างศูนย์การค้าที่รวม 150 ร้านดีไซเนอร์ไว้ที่นี่ ปีหน้าที่นี่จะคึกคักกว่านี้เยอะเลย หน้าต่างไม่ค่อยได้เปิดเพราะหนาว ต้องเปิดฮีตเตอร์ไว้ที่ระดับ 18 องศา แต่พอตื่นมาตอนเช้าจะต้องเปิดหน้าต่างให้ระบายอากาศหน่อย เพราะมันจะแห้งเกินไป ที่สำคัญเราใช้ห้องน้ำเขาคุ้มสุดๆ ขอสารภาพอยู่ที่บ้านแป้งไม่ค่อยได้อาบน้ำ เพราะหลายอย่าง ที่สำคัญเราอาบน้ำแรงด้วย ฮี่ๆ กลัวทำห้องน้ำเขากระจาย แต่อยู่ที่นี่ สบายเฮ มีอ่างให้นอนแช่น้ำอุ่นเป็นชม.ๆ ไม่ต้องเกรงใจใครแม้ว่าน้ำจะท่วมห้อง เอิ๊กๆๆ
เอ๊..พอตอนกลางคืนเราเห็นภาพข่าวแว๊บๆจากสถานี CNN ผู้บรรยายว่าอะไรไม่ได้สนใจฟังตอนแรกเพราะเปิดมาไม่ทัน แต่พอเห็นรูปเหมือนผับอะไรซักอย่างโดนไฟไหม้ แล้วมีคนตายโดนหามออกมาเยอะแยะ สถานที่เละเทะ รองเท้าผู้ตายเกลื่อนกลาด เราชักสนใจว่าที่ไหน ไอ่ผู้บรรยายก็ไม่บอกซักที จนจบมันก็บอกแค่ชื่อมัน กับ 'CNN Bangkok' ... o_o! ??? !!!
ไปคุยกับแป้งตอนเช้ามันยังไม่เชื่อเลย บอกว่าคงไม่ใช่กรุงเทพหรอก เราเองก็ภาวนาว่าอย่าใช่เร้ย อาไรจะเกิดได้ทุกปีสิน่า วันสิ้นปีเนี่ย! (แต่ว่า มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่ Santika ผับในซอยเอกมัย กรุงเทพบ้านเราเอง)
ขออุทิศส่วนบุญกุศลให้กับผู้ตาย ไปสู่ที่สุขสงบด้วยนะ...





วันศุกร์ที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

วันพักผ่อน

December 29' 2008.
450 Rooms Castle


จากการตะลอนลุยหิมะเมื่อวาน ทำให้วันนี้เราตื่นนอนกันสายโด่งสุดโต่ง 55+ แต่ก็ไม่เดือดร้อน เพราะเราไม่ต้องรีบไปไหน จะสงสารก็แต่คุณเพื่อนแป้ง ที่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานวันนี้ เง้อ..เหมือนเอาเปรียบเพื่อนไงไม่รุ

แต่ช่วยอะไรก็ไม่ได้นี่นา ช่วยได้แต่รอเวลาตอนบ่ายจะออกไปรับกลับบ้านกัน เพราะนิโคใจดี ไม่อยากให้อยู่บ้านทั้งวัน เลยพานั่งรถเล่นข้ามเขตเมืองสตุทร์การ์ทออกมาหน่อย มาชมปราสาทเก่าแก่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งนิโคเองก็ไม่เคยมาเหมือนกัน ที่นี่ค่าเข้าชมไม่แพง คนก้ไม่พลุกพล่าน อาจจะไม่ใช่สถานที่ฮอตฮิตอะไรมากมาย ถึงกระนั้นก็ยังมีมนต์ขลังของความเก่าและประวัติศาสตร์ของพระราชาเจ้าของปราสาท ซึ่งที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือน เนี่ยแหละ .. แบบอย่างของชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยของพระราชาในอดึตกาล ไม่ทันสมัยและเป็นนักพัฒนาเหมือนพระราชาแห่งนอยชไวสไตลเลย

เราออกจากบ้านกันมาบ่ายสามโมง ขับรถประมาณ 40 นาทีก็ถึงที่นี่ แต่ต้องจอดรถที่สวนสาธารณะด้านนอกปราสาทแล้วค่อยเดินฝ่าความหนาวไปเข้าประตู ระหว่างทางเราก็ต้องผ่านสี่แยกไฟแดง แล้วก็เจอเข้ากับงูตัวเบ้อเริ่ม(อีกแล้ว) แต่อันนี้ไม่น่ากลัวเพราะไม่มีชีวิตจริงๆ เป็นงูที่สร้างเพื่อประดับไว้บนเสาไฟแดง เออ..ก็แปลกดีนะ ไม่เคยเจอ นึกไงของเขากันเนี่ย?

ปราสาทหลังนี้มีทั้งหมด 450 ห้อง ตามที่จับใจความจากไกด์ได้ แต่ไกด์นิโคซึ่งแปลจากไกด์เยอรมันตัวจริงมาอีกที ขี้เกียจแปลเป็นภาษาอังกฤษหลายตอน เราเลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ขนาดชื่อปราสาทยังจำไม่ได้เลย แล้วดันไม่ได้เก็บเอกสารมาด้วย เพราะค่าเข้าก็ไม่ได้จ่ายเอง นิโคออกให้อีกต่างหาก หุหุ อย่างว่า ที่นี่ไม่ค่อยฮิตเท่าไหร่ จึงไม่มีภาษาอื่นใดนอกจากไกด์เยอรมันเท่านั้น ใครอยากรู้อะไรหาทางแปลกันเอาเอง เราว่าต่างชาติส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จักที่นี่หรอก ถ้าจะมาก็ต้องให้คนเยอรมันพามาแหละ เขาจึงไม่ห่วงกันน่ะ
เราไม่ได้เดินทั้งหมด 450 ห้องหรอกนะ ไม่ไหวอ่ะค่ะ ขาลากกันพอดี เขาเปิดให้เดินได้ 2 ชั้น ประมาณ เกือบ 20 ห้อง แยกโซนพระราชาและพระราชินีต่างหาก ห้องนี้เป็นห้องกระจก มีแต่กระจกสวยๆเต็มห้องไปหมดเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาไว้แต่งตัวหรือเป็นห้องทะลุมิติ หรือยังไง?


ส่วนใหญ่ในปราสาททุกที่ก็จะมีโรงละคอนหมด ที่นี่ก็เช่นกัน และใหญ่โตมากด้วย ก็ดูจากขนาดตัวปราสาทแล้วกัน พื้นที่เขาเยอะมากน่ะ สร้างๆมันให้หมด จะเหลือไว้ทำไม


ไม่ได้ถ่ายกะหนุ่มหล่อที่ไหน ก็ขอถ่ายกะรูปปั้นหนุ่มรูปงามแทนละกัน แต่ชอบนะงานปั้นๆที่เป็นคนแบบเนี้ย มันดูมีชีวิตชีวาดีอ่ะ งานนี้ปราณีตมากเลยด้วย มองดีๆจะเห็นเส้นเอ็น กล้ามเนื้อของรูปปั้นด้วย มีชีวิตมั๊ยล่ะนั่น?

ห้องนี้เข้ามาหนาวยะเยือก ได้ข่าวว่าเคยเป็นห้องที่เก็บเถ้ากระดูกของบรรดาราชวงศ์แต่ละรุ่น ตามข้างฝาจะติดรูปของท่านเหล่านั้นไว้ให้เห็นเป็นขวัญตาด้วย เสียดายแต่ว่าตอนนี้เถ้าถูกย้ายออกไปแล้ว เหลือแต่รูปไว้ให้ดูต่างหน้า นี่หรือป่าว ที่เป็นสาเหตุทำให้ห้องหนาววววว...
อ้อ..ที่นี่เขามีกฏ ถ่ายรูปได้ทุกมุมทุกซอก แต่ห้ามใช้แฟรช เพราะแสงแฟรชจะไปกระทบภาพ หรือ สิ่งของที่อาจเกิดปฏิกิริยา ทำให้สีสรรหรือคุณสมบัติอะไรของสิ่งของเสื่อมไป เราจึงได้แต่รูปที่มัวซัว เพราะนิโคเป็นโรคมือสั่น ถ่ายไม่ได้ดีซ้ากรูป เราเองบางรุปก็ดูไม่ได้เหมือนกัน

ข้างในนี้มีโบสถ์ด้วย ดีจัง เป็นพระราชากะพระราชินิสมัยนั้น ไม่ต้องเดินทางไปเข้าโบสถ์ให้เมื่อยตุ้ม จัดรถไปรับพระมาถึงที่เสร็จสรรพ แล้วโบสถ์เขาสวยงาม ใหญ่โตมากอีกต่างหาก


นี่เป็นห้องนอนของพระราชา พระราชาองค์นี้ตัวสูงใหญ่มาก สูงเลยสองเมตรไปอีกตั้งเยอะแน่ะไกด์บอก เตียงนอนก็เลยต้องกว้างใหญ่ไปด้วย ซึ่งผิดกับเตียงของพระราชินี จะเล็กกว่านี้เกือบครึ่ง เห็นมะ? เขาให้เจาะถ่ายได้หมดทุกซอกจริงๆนะ แม้กระทั่งโถพระฉี่ ที่ทำเป็นเก้าอี้ให้นั่งวางอยู่ข้างเตียง ยังโชว์ให้เห็นเลย

รูปนี้พยายามสุดชีวิตที่จะไม่ให้สั่น เนี่ยแหละเจ้าของปราสาท นี่ขนาดเกือบเท่าตัวจริงเลยนะรูป ท่านตัวโตใหญ่มั่กๆค่ะ อ้วนเยอะด้วยล่ะ ดูแล้วรู้เลยว่ามีอันจะกิน และไม่ค่อยได้ออกกำลังทำงานเท่าหร่าย..อิอิ โทดนะค้า อิช้านว่าปัยตามเนื้อผ้า งุงิ

โคมไฟระย้า สวยงาม น่าจับต้อง เอ้ย..จับตามองเป็นยิ่งนัก นี่ถ้าได้แฟรชนะ จะระยิบระยับขนาดไหนไม่ต้องบรรยาย แล้วเกิดมันตกลงบนหัวใครคนที่เดินๆอยู่ละก็ .. หัวแบะแน่นอนจ้า
พอชมปราสาทเสร็จ ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นพอดี กะเวลาให้ทันไปรับแป้งนะนั่น แต่ว่า วันนี้คุณเพื่อนต้องทำงานเกินเวลาอีกแล้ว โห่..เหนื่อยน่าดู นิโคเลยต้องขับกลับมาส่งเราที่บ้านก่อน แล้วค่อยออกไปรับภรรยาอีกที
วันรุ่งขึ้นวันที่ 30 ธันวาคม อ่ะ..ใกล้สิ้นปีเข้าไปแล้ว ตื่นเต้นๆ จะได้เปลี่ยนที่นอนไปนอนในโรงแรมที่ออสเตรียแล้วด้วย วันนี้เลยเตรียมตัวกันใหญ่ เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้วหนาน้องแกรี่ ไหนเอามาเล่นกันหน่อยดิ๊ นี่แน่ะๆๆๆ จับถ่ายรูปกะต้นคริสมาสต์ของเราซะเลย ต้นนี้ยังไม่เก็บจนกว่าจะเลยปีใหม่ไป ซึ่งถึงตอนนั้นเราก็ไม่อยู่ช่วยแป้งมันเก็บแระล่ะ ฮี่ๆ
เตรียมตัวกันค่อนวัน หนักไปทางอาหารเสียเป็นส่วนใหญ่ ไหนจะต้องย้ายน้องแกรี่ไปอยู่บ้านปู่ย่าอีก นี่แหละต้องเตรียมเยอะ เพราะเราไปกัน 3 วัน ต้องมีคนดูแลแกรี่เขา ครั้งนี้แม่นิโคตัดหน้าคุณยายบ้านข้างล่างไป อยากได้ไปนอนเล่นด้วยว่างั้น เด่วก่อน..จะรู้สึก
ลืมไปแล้วว่าวันนี้กินอะไรกัน อ้อ..มักกะโรนี คุณเพื่อนทำ อร่อยสุดๆ อ๋อ..นี่แหละตัวการทำน้ำหนักเราขึ้นมาเกือบสามโล แล้วแก้มก็พองๆออกเล็กน้อย ดีจัง ..