วันอังคารที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

วันแรกดอยแม่อูคอ

หลังจากที่รู้ตัวว่าไม่มีอะไรหรือใครรออยู่ที่กรุงเทพฯ เราก้อไม่รู้ว่าจะอยู่เพื่อรอใครเหมือนกัน จึงเก็บกระเป๋ากระโดดขึ้นรถตู้ไปแจมกับทริปแม่ฮ่องสอนที่จัดโดยพี่ก้องแห่งมัลติพลาย ทั้งๆที่ไม่เคยรุ้จักกันมาก่อนน่ะแหละ ออกเดินทางเย็นวันพฤหัส รีบๆร้อนๆ สนุกดี ไม่มีเวลาว่างให้คิดมาก ฮ่า


นั่งหลับๆตื่นๆไปเรื่อย จนไปสว่างที่ฮอต เกือบถึงแม่ฮ่องสอนแล้ว แวะจ่ายตลาดซื้อกับข้าวเตรียมไปเป็นอาหารของพวกเราสามวันในระหว่างแคมป์ และก็ได้อาหารมื้อเช้าเป็นต้มเลือดหมูกับข้าวสวย อิ่มท้องไปนาน จากนั้นนั่งหลับได้อีกหน่อย ไปลืมตาที่สวนสน บ่อแก้ว ป้ายเขาน่ารักดี ชอบ เลยถ่ายมาไว้ดู

ยังไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่ เลยตั้งกล้องถ่ายเองซะเรย ไหนๆก็ไปคนเดียวอยู่แล้ว ถ่ายคนเดียวก็ด้าย ต้นไม้เยอะแยะเป็นเพื่อน เนอะ แต่ทริปนี้สังเกตดูให้ดีดี จะเน้นที่มุมไกลโพ้น เพราะหน้าตาดูไม่ด้ายยย...

จากบ่อแก้วก็นั่งรถต่อกันมาแวะที่วัดจอมแจ้ง เรียกว่าแวะเที่ยวรายทางเลยล่ะ ไม่รีบ ไม่รีบ อ้อ..มีแวะเข้าห้องน้ำเยอะสุด เพราะวันนี้เราจะไปนอนเต้นท์กัน มันอาจจะไม่ค่อยสะดวกถ้าไม่เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เอิ๊กๆแต่ไหนได้ พอไปถึงดอยอูคอแล้ว จุดกางเต้นท์ของพวกเรา มีห้องน้ำห้องส้วมสะดวกสบายสุดๆ สะอาดด้วยนะ คนเยอะแต่ไม่พลุกพล่านมากมาย ไม่ถึงกับเบียดกัน ก๊วนเรามีทั้งหมดสิบคนรวมคนขับด้วยแล้ว ทุกคนมาแจมกันที่จุดกางเต้นท์เนี่ยแหละ เป็นเพื่อนกันได้หมด ถึงแม้ว่าจะต่างคนต่างมา เสียดายว่า วันแรกเราถ่ายรูปได้นิดเดียว แบตก็หมดซะ(ความจริงรูปนี้แหละ สุดท้ายก่อนแบตหมด) กว่าจะได้แบตเต็มคืนกลับมา ก็เป็นวันที่สามแล้ว หมายความว่าวันที่สอง รูปที่เราถ่ายอยู่ในกล้องคนอื่นหมดเลย

ดอยอูคอตอนนี้ เหลืองอร่ามปกคลุมเต็มไปด้วยดอกบัวตอง มองจากมุมไหนๆ ก็จะเห็นแต่สีเหลืองทั้งภูเขา ดูไปก็สดชื่นดีแถมมีกลิ่นหอมธรรมชาติของเกสรด้วยนะ
ชื่นชมธรรมชาติกันเต็มอิ่ม ก็เย็นพอดี ได้เวลาทำอาหารซะแว้ว ทริปนี้มีผู้หญิงไป 4 คน เราก็เลยได้ช่วยทำเต็มแรง แต่อ้อ..มีพ่อครัวเอกไปด้วยอีกหนึ่ง ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ แถมอาหารทุกมื้ออร่อยสุดยอดไปเรย ทุกคนชมไม่หยุดปากกันเชียว
ถึงแม้จะนอนกลางดิน กินกลางดอย แต่ก็มีความสุขได้ ขอเพียงแต่ไม่นอนกับน้ำตาแค่นั้นแหละ ....
จะเอามาต่อเรื่อยๆ ติดตามตอนต่อปาย....
.

วันจันทร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

จบแล้ว

กับสิ่งที่พยายามประคับประคอง พยายามสร้างมาด้วยกัน หรืออย่างน้อยก็อยากสร้างเพื่อกันและกัน ระหว่างเรากับผู้ชายที่เคยคิดว่าเขารักเรา แต่ตอนนี้ เรามีเพียงตัวเองคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ เพื่อที่จะอยู่ต่อไป..อย่างเดียวดาย

ต้องขอโทษนกและคนอื่นด้วย ที่เอ่ยปากว่าจะชวนไปบ้านใหม่ ทำกับข้าวให้กิน มีปาร์ตี้กัน เพราะคงไม่มีอีกแล้ว เราบอกคืนห้อง ยกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายกับเจ้าของห้องเก่าไปเรียบร้อยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่รู้ว่าจะโดนหักเงินมัดจำเท่าไหร่ หรือว่าเขาจะใจร้ายกับเราแค่ไหน แต่อย่างว่า เข้าไปอยู่ห้องเขาตั้งเดือนครึ่ง ก็เกรงใจเขาอยู่เหมือนกัน

ถึงวันนี้ก็ยังเก็บของออกมาไม่หมด มันเจ็บปวดนะกับการที่ต้องกลับไป พอเปิดประตูเข้าไปแล้วเห็นสภาพห้องที่เคยอยู่ด้วยกัน มันยิ่งเจ็บ เราต้องเค้นเอาความเข้มแข็งที่เคยสะสมไว้ออกมาอย่างยากเย็น ซึ่งถ้าเทียบกับฝ่ายเขาแล้ว จากเมื่อวานที่เห็นตอนที่เขากลับมาเก็บของ แล้วมาพร้อมกับเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง ผู้หญิงรออยู่ที่รถ เขาไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวร หรือเห็นใจเราซักนิด กลับกันเหมือนยิ่งอยากจะไปๆเสียให้เร็วๆ

จากนี้ไป คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแห่งการจากลาระหว่างเรา ตลอดช่วงเวลาสามปีตั้งแต่ได้รู้จักกันมา ซึ่งต้องบอกว่า เราผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาด้วยกันหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหน ที่เรารู้สึกเหมือนไร้ค่าขนาดนี้ เพราะครั้งก่อนๆ เรายังรู้สึกได้ทุกครั้ง ว่าเขาจะกลับมาเจอกับเราอีก แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว

....เพราะเขาไม่ต้องการเราอีกต่อไป เขาไม่รักเรา



................................................


.

วันศุกร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

อำลา

วันนี้เป็นวันอีกวันหนึ่ง ที่เราชาวไทยต้องสวมใส่เสื้อผ้าสีดำกัน ซึ่งเราใส่กันมาจริงๆจังๆตั้งแต่วันหลังจากปีใหม่วันเดียวเท่านั้น แล้ว

อันเนื่องมาจาก การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาฯ ปีนี้จึงเป็นปีแห่งสีดำก็ว่าได้ จากความรู้สึกของเรานะ เพราะไม่ว่าจะเรื่องนี้ แล้วยังอีกหลายเรื่องที่คนไทยต้องสูญเสีย เหตุการณ์นองเลือด เงินทองในกระเป๋าลดวูบวาบหายไปไหนไม่รู้ ข้าวของเครื่องอยู่กินใช้ แพงขึ้นจนบางอย่างจับต้องไม่ได้ น้ำมันแพงจนต้องจอดรถทิ้งไว้ แล้วเดินไปขึ้นรถเมล์ อย่างนี้ก็มี

แต่เรื่องของเรา กลับยิ่งขุ่นมัวยิ่งกว่าสีดำของปีนี้เสียอีก หมอดูคนหนึ่งเคยทักไว้เมื่อปลายปีที่แล้วว่า อย่าใส่สีดำ เพราะยิ่งจะทำให้ชีวิตเราย่ำแย่ลง ความจริงเราเองก็ไม่ได้นิยมชมชอบสีดำอะไรมากมาย เพียงแต่วาใส่เพราะไม่อยากคิดมาก เป็นคนขี้เกียจแต่งตัวว่างั้นเหอะ ตอนนี้จำเป็นต้องใส่ต่ออีกซักสองวัน หวังว่าไอ้ที่เลวร้ายอยู่แล้ว จะไม่เลวร้ายหนักลงไปยิ่งกว่าเดิมนะ

เมื่อมีการพบเจอ ก็ต้องมีการลาจาก เป็นสัจธรรมที่ยั่งยืนเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

ถึงเวลาจริงๆแล้วล่ะ ที่เราจะต้องอำลาจากสิ่งเดิมๆ ตลอดช่วงระยะเวลาสองถึงสามปี โดยเฉพาะปีนี้ซึ่งเป็นปีที่เราเสียน้ำตามากที่สุด แต่ต่อไป เราจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว...

หลังจากภาวะแห่งสีดำผ่านพ้นไป ท้องฟ้าและโลกใบนี้คงจะกลับกลายเป็นสีที่สดใสมากขึ้นกว่าเดิมนะ



คิดถึงก๋องก๋อยจัง....ลูกแม่



..........................

วันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

เปลี่ยนแปลง

อย่าตกใจไป เข้ามาถูกที่แล้วล่ะ นี่ chachabella คนเดิมจ้า แต่ว่าเปลี่ยนหน้าตาไปเล็กน้อย (ความจริงก็ไม่น้อยเหมือนกันนะ)

เวลาเราเบื่อๆ เราก็อยากหาอะไรทำเพื่อเปลี่ยนแปลง อาจทำกับตัวเองหรือร่างกาย แต่ว่าตอนนี้มีอย่างอื่นเพิ่มเติมให้ทำ ก็เลยดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ เช่น ที่บลอคของตัวเอง เพราะฉะนั้น จะปรับให้มันแต่งตัวเป็นยังไงเมื่อไหร่ ก็ย่อมได้ ว่าแต่ว่า เราจะมีเวลาเหลือเฟือเช่นวันนี้หรือป่าว? นั่นสิ ...

วันนี้ว่าง ว๊าง ว่าง นะ ตอนแรกนึกว่าจะได้รีบวิ่งไปดูงานที่รพ.บำรุงราษฏ์อีก แต่พอโทรไปลูกทีมบอกยังไม่เสร็จแน่ๆวันนี้ บอกให้เข้าไปดูพรุ่งนี้ดีกว่า เอางั้นก็ได้ แสดงว่า ช้านว่างล่ะสิ พอว่าง ยิ่งขี้เกียจ นั่งน่าคอมพ์นานๆ ติดจอ ข้าวปลาไม่ออกไปหากินกันล่ะ

เอ๊..พรุ่งนี้ลอยกระทงกันแล้วนี่!! ไม่รู้สึกว่าตื่นเต้นเรยเนอะ ไม่เหมือนตอนเด็กๆ หรือว่าเราแก่? อ่ะ..อย่าพูดอย่างนั้น เพียงแค่มุมมองของความรู้สึกมันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง อะไรๆมันก็แปลกไปด้ายย...แล้วเพื่อนๆเราจะไปเที่ยวลอยกระทงกันที่ไหนล่ะจ๊ะ หรือว่า ใครอยากจะชวน? ยังว่างอยู่น้า..เอิ๊กๆ

วันนี้อัพตามประสาคนว่าง ว่าง ..

อ้อ..แต่ยังไม่หายเซร็งกับเรื่องที่บ้าน...


................

วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

รอเงินเข้า

แฮ่ะ แฮ่ะ .. มีแต่คนเขารองานเข้า เอามั่ง แต่ขอเปลี่ยนเป็น รอเงินเข้าดีกว่ามั๊ย? อิอิ

ก็ตอนนี้ทุกสิ่งอย่างรอบกายมันน่าเบื่อเหลือหลาย จึงอยากจะไปๆๆๆซะให้มันไกลๆอีกแว้ว หรือว่าจะเป็นนิสัยส่วนตัวที่แก้ไม่หายเรื่องชีพจรลงเท้า อยู่กับที่ติดไม่นาน ต้องไปโน่นไปนี่ แต่มันติดหนึบอยู่กับภาระที่ค้างคาอยู่ตอนนี้ เรื่องสำคัญก็เรื่องที่ยื่นกู้แบงค์ไป ถ้ายังไม่รู้ผล ก็ยังไม่ไหนไม่ได้เด็ดๆ เพราะต้องมีงานตามต่อแน่นอน และเจ้าของบ้านที่ขายต่อให้เรา ซึ่งถึงแม้จะเป็นโอโต้ซังคนกันเองเนี่ยก็เหอะ เรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เข้าใครออกใครอยู่แล้ว เคี่ยวข้นได้ที่เช่นกัน

สัญญากับตัวเอง แล้วก็เพื่อนแป้งไว้ว่า ถ้าเสดธุระเมื่อไหร่ จะรีบไปขอวี-เยอรมันทันที เหนื่อย หนัก เบื่อ เซ็ง สุดๆ

นี่ยังไม่อยากจะพูดถึงเรื่องงานนะ เพราะตอนสิ้นปีเนี่ย อะไรๆก็วุ่นวายมากกว่าเดิมอยู่แล้ว งานหนักกว่าเดิม แต่ก็ต้องรับเรื่องที่บ้านมากกว่าเดิมอีก จะหนักไปไหน?

เงินจ๋า....มาเร็วๆเข้า จะได้เสร็จๆเรื่องกันไป หรือถ้าไม่ ก็อย่ามาเรย จบ!

...................