วันจันทร์ที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๓

เมื่อวันที่บ้านเมืองโดนเผา

กว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเศร้านั้นมาได้ เราต้องเสียน้ำตาไปไม่รู้เท่าไหร่ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ยังคงติดตาคาใจเราคนไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯมาจนถึงวันนี้


เริ่มตั้งแต่ทักษิณโดนศาลตัดสินให้ยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2553 กลุ่มสมุนโจรเสื้อแดง ที่สมัครใจเรียกตัวเองว่า ไพร่แดง ก็รวบรวมทั้งซ่องโจรและชาวไร่ชาวนาตาสีตาสาที่ไม่รู้ความทั้งหลาย สนตะพายกันเข้ามายึดพื้นที่ใช้เวทีเสื้อแดงทำลายเมือง เริ่มตั้งแต่สะพานผ่านฟ้า ยังไม่หนำใจพอเพราะคนกรุงเทพฯและธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้ จึงย้ายมายึดสี่แยกราชประสงค์ตั้งแต่กลางเดือนมีนา เรื่อยมาจนถึงเดือนเมษา ก็แล้วและยิ่งบานปลายลุกลามขยายกองกำลังไปถึงสี่แยกศาลาแดง ปิดพื้นที่บริเวณโดยรอบโดยสิ้นเชิง บริษัทฯ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า โรงแรม ทุกกิจการในย่านนั้นต้องปิดทำการอย่างไม่มีกำหนดทันที ทุกคนเดือดร้อนไปหมดไม่เว้นแม้แต่คนเจ็บป่วยนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่อยู่ติดกับแยกศาลาแดง แพทย์-พยาบาลต้องอพยพผู้ป่วยกันจ้าละหวั่นเพราะกลุ่มโจรต้องการยึดพื้นที่เพื่อย้ายระเบิดเข้าไปเก็บไว้ แบบเดียวกับที่ตอนหลังรู้ว่าได้ทำที่วัดปทุมวนารามซึ่งติดกับเซ็นทรัลเวิลด์ นั่นเอง


จนกระทั่งถึงวันที่เราทนกันต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ทั้งนายกอภิสิทธิ์และคนกรุงเทพฯ ต้องอดทนกับการรุกรานแบบโจรนี้มานานจนเราแทบไม่เหลืออะไรแล้ว รัฐฯพยายามหาวิธีทุกวิธีแบบที่คนรักบ้านเมืองต้องการทำจริงๆ แต่ก็โดนโยกโย้ ขัดแย้งไปทุกวิธี จนในวันหนึ่งซึ่งเราก็ได้ผ่านช่วงเวลาของความสูญเสียมาแล้วหลายครั้ง นับตั้งแต่กลางเดือนเมษาที่ทหารโดนระเบิดและm79 ยิงใส่ทั้งกลุ่มที่แยกคอกวัว จนมาถึงประชาชนชาวสีลมผู้ลุกขึ้นมาโห่ร้องขับไล่ให้โจรออกไปจากบ้านของเขา แต่ก็กลับโดนทำร้ายเข่นฆ่าจนต้องบาดเจ็บล้มตายกันไปไม่รู้กี่สิบถึงร้อยคน ดังนั้น สุดท้ายทหารจึงต้องใช้รถถังขับเข้าไปไถกวาดเวทีอันสกปรกโสมมของพวกมัน เมื่อเช้าวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 และดั่งที่หัวหน้าโจรได้ประกาศไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่ทหารเข้ามากวาดล้างเวที เมื่อนั้นให้พวกไพร่ลุกฮือกันไปเอาน้ำมันจุดไฟเผาบ้าน เผาเมือง กันให้ทั่วทุกหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่ศาลากลางและสถานที่สำคัญๆในต่างจังหวัดด้วย


เราและคนรอบข้างก็โดนผลกระทบกันไปไม่ใช่น้อย เราต้องปิดบริษัทฯแล้วคอยเช็คความเคลื่อนไหวตลอดเวลา การทำงานที่หยุดชะงักนี้ก่อให้เกิดผลเสียหายแน่นอน แต่เดชะบุญยังมีงานจากต่างประเทศเข้ามาให้ได้ล่อเลี้ยงเป็นทุนต่อ แต่สิ่งที่เสียหายไปแล้วจริงๆนี่สิ มันมากมายเหลือเกิน จนบัดนี้เหตุการณ์ล่วงเลยมาจนเกือบเรียกว่าสงบแล้ว แต่เราก็ยังไม่อยากที่จะเห็นสถานที่ที่เคยทำให้เรามีความสุขที่เคยสวยงาม แต่วันนี้กลับโดนเผาทำลายไปเหลือแต่ซาก ดั่งเช่น เซ็นทรัลเวิลด์ ในรูปนี้!

จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน ว่าต้องมีคนตายกี่ศพ บาดเจ็บกันไปกี่ราย เพราะช่วงนั้นเครียดเสียจนอาการปวดหัวกลับมารุนแรงอีกครั้ง เกิดเพราะนอนไม่หลับเป็นสาเหตุใหญ่บวกกับเหตุการณ์เรื่องราวอันสะเทือนใจเหล่านั้นด้วย มันคงไม่มากมายอะไรหรอกถ้าไม่ได้มาเกิดที่ "กรุงเทพฯบ้านเรา"


วันศุกร์ที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๓

บ้านใหม่ของเรา

ก่อนอื่นต้องบอกว่า โดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ว่าจะๆหาซื้อที่อยู่ใหม่ซักที่ตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นบ้านจริงๆ ตอนเกิดแรงบันดาลใจนั้นอยากได้คอนโดใหม่เป็นแน่วแน่ ค้นหาเป็นสิบๆที่ ไปดูมาก็แล้วเป็นหลายๆห้อง สุดท้ายเปิดหนังสือบ้านดู เจอแบบ+ราคา+นโยบายลดหย่อนภาษีที่จะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาปีนี้ โหย..รอไม่ได้แว้ว 


วันนั้นเป็นวันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม ช่วงกำลังเกิดวิกฤติบ้านเมืองโดนเสื้อแดงยึด นัดลูกค้าสองรายไปไม่ได้ซักรายเพราะเขาต้องปิดบริษัทหนีตายกัน พอมีเวลาว่างช่วงก่อนเที่ยงแวะกินข้าวเอ็มโพเรี่ยมเลยได้ซื้อหนังสือบ้านมาดู แล้วรอเวลานัดดูคอนโดเดอะพาร์ค ศรีนครินทร์บางนาด้วย พอเปิดไปเจอโครงการของพฤกษาชื่อคอนเนค แต่ละโครงการไม่อยากจะเชื่อ หน้าตาบ้านก็ดูดีใช้ได้ทีเดียว แต่ราคาถูกกว่าคอนโดอีก มองนาฬิกาจึงเห็นว่ามีเวลาเหลือพอให้ไปดูโครงการคอนเนค8 ที่บางนา กม.10 พอดีว่าใกล้กับเดอะพาร์คด้วย ไปเลยดีกว่า 


เหมือนรักแรกพบจริงๆ พอเห็นปุ๊บก็ปิ๊งปั๊บ ตกลงซื้อทันที นี่ขนาดยังไม่ได้ไปดูคอนโดที่อยากได้นักหนาเลยนะ ราคาบ้าน 1.48 ล้านบาท ถูกกว่าคอนโดสองแสนกว่าแน่ะ แถมยังมีเนื้อที่ให้หายใจได้มากกว่าสิบเท่า พอเรากู้ได้เต็ม 100% โครงการก็จะคืนส่วนลดให้อีก 1 แสนบาทเป็นค่าตกแต่งภายในไป ราคาบ้านจริงๆเลยเหลือแค่ 1.38 ล้านบาทเท่านั้น ได้ทาวน์โฮม 2 ชั้น 3 ห้องนอน มีที่จอดรถเป็นของตัวเองหนึ่งคัน มีสวนหย่อมให้แมววิ่งเล่นได้ มีครัว-ซักล้างไว้ด้านหลังกว้างขวาง ส่วนเรื่องคุณภาพวัสดุก็น่าเชื่อถือดีอยู่นะ เพราะโครงการของพฤกษาที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาซักราย 


ไปดูบ้านในโครงการที่เสร็จแล้ววันศุกร์ พอรุ่งขึ้นวันเสาร์ที่ 15 เราก็จัดแจงไปเซ็นต์จองทันที เพราะเงื่อนไขลดหย่อนภาษีเป็นตัวกระตุ้นด้วยแหละ ถ้าโอนทันภายในเดือนนี้ลดไปเกือบสามหมื่น แต่สุดท้ายรัฐฯก็ต้องยืดให้อีกเดือนหนึ่งจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน เพราะเหตุการณ์เสื้อแดงเผาเมืองทำให้ราชการห้างร้านต้องปิดทำการกันหมดเป็นเวลานานในเดือนพฤษภาคมนั่นเอง ยังไงซะ เราก็ได้ลดแน่นอนอยู่แล้น..ฮี่ๆ ตกลงเป็นหนี้กับแบงค์กรุงศรีฯ ง่ายสุดแล้วตอนนั้น 


รูปพวกนี้ถ่ายจากบ้านเราจริงๆ ณ วันไปตรวจรับมอบบ้าน วันที่ 9 มิถุนายน ตามที่โชว์อยู่ในรูปเลยนั่นแหละ ความจริงบ้านเสร็จพร้อมรับตั้งแต่สิ้นเดือน แบงค์ก็นัดโอนตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว แต่พอรัฐฯยืดให้เราเลยยืดบ้างนิดหน่อย มาตรวจรับวันพุธที่ 9 แล้วนัดโอนวันศุกร์ 11 ฤกษ์ดีพอดีเปิดบอลโลกที่แอฟริกาใต้พอดีเลย .. เอิ๊กๆ (เกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย?) 


นี่คงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ได้ให้สัญญาไว้กับตัวเองแล้วล่ะ เพราะยังไงเราก็ยังมีลมหายใจอยู่ ถึงแม้จะอยู่คนเดียวแต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นเลยในชีวิต ลมหายใจเราอาจขาดเป็นช่วงๆก็ได้ ดังนั้นการทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น จึงถือเป็นรางวัลให้กับชีวิตที่อ้างว้างนี้ ยังไงเราก็ต้องหอบแม่แก่ๆ กะลูกๆสองตัว ก๋องก๋อยกะกาแฟ ไปอยู่ด้วยแน่นอน สำหรับที่เก่าตอนแรกคิดว่าอาจจะเก็บไว้ก่อน แต่พอมาดูหนี้ที่ต้องผ่อนใหม่ จึงตัดสินใจต้องขายในบัดดล จะได้เอาเงินนั่นมาโปะหนี้ใหม่ได้บ้าง นะ


วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๓

ทริปกินปู

เมื่อวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาที่ผ่านมานี้ หลังจากเหตุการณ์ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิววันเดียว เบบี้แอนด์เดอะแก๊งก็ตะเลงกันไปกินปูที่ระยอง หาด P.M.Y ทันที เราในฐานะผู้ติดสอยห้อยตามก็นั่งรถตู้ไปสมทบกับเขาด้วยแบบเนียนๆ 


รวมหมู่เหล่าสมาชิกครบเซ็ต ที่เห็นเป็นคนนอกกระทู้หุ้นพันทิพก็มีแค่เรากะขนุนสามีน้องเบเขาเท่านั้นแล เอ..หรือว่าขนุนเขาอยู่ในกระทู้ด้วยป่าวไม่รู้นะ ที่แน่ๆ วันนั้น กินๆๆๆๆๆๆ แล้วก็ถ่ายๆๆๆๆๆ .. รูป.. นะจ๊ะ แล้วก็กลับบ้าน ทำเวลาได้ดีมาก ไปเช้า เย็นกลับ 


นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาหารการกิน ของทะเลสดๆใหม่ๆทั้งน้าน อร่อยสุดยอดอีกต่างหาก โดยเฉพาะหอยทะเลตัวนิ่มๆใหญ่ๆนั่น ว่าแล้วอยากกินอีกจังเลย ไข่แมงดานั่นก็ด้วย โอ้ย..กว่าพระเอกปูจะมา พุงกางไปไหนต่อไหนกันแย้ว


ท้องฟ้าวันนั้นก็เป็นใจ สดใสซาบซ่ามั่กๆ เรารึก็เร่งๆให้รีบๆมาถ่ายกันตั้งกะบ่ายสาม แต่ช่างภาพขนุนกลัวแดด กว่าจะออกมาก็บ่ายสี่กว่าๆ แต่ก็ยังโอนะ ฟ้าเป็นฟ้า ทะเลเป็นทะเล อ้าว..แล้วจะให้เป็นรัยล่ะช้าน? 


หน้าช้านทำไมอุมได้อย่างนั้น อ้อ..งุงิ อย่าบอกใคร มันยังบวมๆอยู่เพราะเพิ่งไปฉีดยามา ยังชาๆอยู่เลยด้วยซ้ำ ตอนกลับบ้านรุ้สึกว่าปวดๆเล็กน้อย คงเพราะขยับเหงือกเคี้ยวอาหารมากไปหน่อย ไม่เจียมสังขารตัวเองเร้ย .. ฮ่าๆๆๆ 

แต่ก็สนุกนะ วันพักผ่อนเล็กๆ หลังจากเครียดเรื่องบ้านเมืองโดนเผาไปพักใหญ่ ไปนั่งมองทะเลท้องฟ้า กินปูกินปลา สบายใจขึ้นมาหน่อย 

วันจันทร์ที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๓

หนุ่มน้อยกาแฟ



จวบจนวันนี้ น้องกาแฟตัวกวนรวมอายุได้ ปีกับอีกครึ่งปีแย้วค้าบ!!! 

ตั้งแต่ไปรับมาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน กาแฟก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ทั้งฉลาด ทั้งแสนซน ยังไม่เคยหยุดหย่อน แต่อีกอย่างที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน คือความขี้เล่นแบบโหดๆ จับแมลงสาป จิ้งจกงี้ มาทรมาณเล่นก่อนให้มันตาย แล้วก็ทิ้งซากไว้ให้แม่มันไปเก็บ กับอีกมุมหนึ่งก็เป็นแมวอารมณ์อ่อนไหว อ่อนโยน ชอบไปเคล้าคลอกับต้นไม้ใบหญ้า ทำหน้าทำตาเหมือนไร้เดียงสามั่กมาก วุ๊ย..เห็นแล้วหมั่นใส้ 

นิดหน่อยแค่นี้ก่อน ในฐานะที่ห่างหายบลอดส่วนตัวไปนาน ไว้มาระบายกับตัวเองใหม่เรื่อยๆ... 

มีเรื่องราวผ่านไปเยอะแยะมากมาย ช่วงที่หายไป...


วันเสาร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

วันที่เงียบเหงา

ตอนลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ เดี๋ยวนี้เรามักรู้สึกว่ามันเป็นชีวิตที่เราเป็นจริงๆแล้ว...

เพราะมันไม่เหมือนวันอื่นๆ และเราก็ไม่อยากให้มีวันอื่นที่เราจะมีความรู้สึกอื่นใดอีกแล้ว เรามักจะสบายใจเวลาที่ทำความเข้าใจกับตัวเองว่า เราเป็นใคร ทำอะไรอยู่ กำลังจะเดินไปทางไหน หรือ ต้องทำเพื่อใคร

เพราะเราตระหนักแน่นอยู่ในอกนานแล้วว่า ชีวิตนี้ที่เราใช้อยู่จนปัจจุบัน ไม่ได้ใช้เพื่อตัวเราเองเลย ความหมายของชีวิตที่เราหาได้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเราเองสักครั้ง แต่เราก็จำต้องทนอยู่ต่อไปเพื่อคนอื่น คนรอบข้าง คนที่เราต้องให้ความดูแลพวกเขา แต่สำหรับเรา คงเป็นไปไม่ได้แล้วที่เราจะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากใคร และถึงแม้จะมีใครอยากทำแบบนั้น เราคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย ด้วยความที่มันเป็นเรื่องแปลกมากๆสำหรับเรานั่นเอง

แต่วันนี้ เรากำลังมองหาทางเดินใหม่ๆอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่ามันอาจจะเป็นทางเดินท้ายๆสุดในชีวิตก็เป็นได้ เนื่องจากการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ซึ่งมันต้องอาศัยความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และอดทนต่อปัญหาอุปสรรครอบด้านด้วยตัวเอง ดังนั้นเราจึงค่อนข้างช้าในการตัดสินใจทำอะไรลงไปสักอย่าง บางคนอาจเข้าใจว่า คิดคนเดียว ทำคนเดียวสิ น่าจะเร็วและง่ายกว่า นั่นไม่จริงเสมอไป สำหรับคนที่ตระหนักแน่นอนว่าตัวเองมีเพียงตัวคนเดียวจริงๆ ถ้าคนๆนั้น ถ้าคนนั้นเป็นอย่างเรา เขาคงจะค่อยๆคิดและไม่บุ่มบ่ามตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างแน่ เพราะถ้าเขารู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือ ยังไงก็จะต้องมีเพียงตัวเองคนเดียวเท่านั้น แล้วใครล่ะ อยากทำพลาด?

แต่ก็นั่นแหละ..ใช่ว่า ตัดสินใจช้า คิดมาก แล้วจะเดินทางถูกเสมอไป มันตัดสินกันยากเหลือเกินที่จะบอกว่า ทางที่เลือกไปถูกหรือผิด แต่สิ่งที่เราสามารถยึดไว้ได้ สิ่งที่เรามั่นใจว่า นี่คือสิ่งที่ทำให้เรายืนอยู่ได้ มันคือ แค่ความพร้อมยอมที่จะรับและเผชิญกับสิ่งอันจะเกิดจากทางที่ได้เลือก เพราะมั่นใจว่า ถ้าเกิดความลังเล และโทษสิ่งที่ตัวเองเลือกเองขึ้นมาวันใด วันนั้นคงเป็นวันที่เราจะหยุดอยู่กับที่ ไม่มีทางให้ก้าวเดิน หรืออาจจะไม่มีแรงให้ลมหายใจเข้าออกก็เป็นได้

และมันก็เป็นเช่นทุกครั้ง ที่ตัวหนังสือจะเข้ามาอยู่คู่กับความคิด ความรู้สึกของเรา มันมีเพียงทางเดียวที่เราจะสื่อความเข้าใจกับตัวของเราเองได้เป็นอย่างดี และเรามักจะหวังทุกครั้งว่า เราจะได้ความเข้าใจที่มาพร้อมกับทางออกให้เราเลือกเดินไปได้ต่อ

ไม่ว่า..ทางนั้นจะขรุขระ เลวร้าย หรือยากลำบากแค่ไหน แต่ถ้าเราเลือกแล้ว เรามั่นใจว่าความพร้อมยอมรับที่เรามี จะทำให้เราเดินต่อไปได้....