เดือนเมษามาเยือนอีกครั้งแล้วสินะ เพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไหร่เอง เวลาไม่เคยคอยใครจริงๆ เราต้องเดินไปให้ทันเวลาอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นอาจแย่
ความจริงเดือนนี้ก็มีดีที่สุดอยู่ตรงที่วันหยุดยาวของคนไทยทั้งประเทศนี่แหละ เทศกาลสงกรานต์งานปีใหม่ไทยนี่ล่ะ ทำให้เราได้มีโอกาสตลุยตลอนไปไหนๆทุกปี ไม่เว้นแม้แต่ปีนี้ที่ตอนแรกคิดว่าคงได้แต่นั่งดูทีวีอยู่กับบ้าน(คนเดียว) แต่ไหนได้ เจ้าเพดกราดมาชวนเอาก่อนไปแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น ทำหยั่งกะมันรู้ว่าเราไม่มีที่ไปงั้นแหละ(เออ..ก้อไม่มีจริงๆนี่หว่า) ตกลงใจไปเกือบจะยังไม่วางสายแน่ะ หุหุ ...
ไปไหนหรอ? เขาสก เขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎ์ธานี แถบเกาะสมุยนั่นไง แต่ขอบอกว่านี่เป็นครั้งแรกนะ ที่ได้ไปเยือนดินแดนที่กำลังฮอตฮิตในนาม กุ้ยหลินเมืองไทย
ออกเดินทางเย็นวันเสาร์ที่ 11 เมษา เพราะก่อนหน้านั้นคิดว่ารถคงจะติดมากในเย็นวันศุกร์ แต่ไหนได้ คนหายไปไหนกันหมด? อ้อ..หายไปเพราะโจรเสื้อแดงนั่นเอง เพราะพวกมันเริ่มวีรกรรมเยี่ยงโจรออกมารุกล้ำพื้นที่ส่วนรวมของประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเราๆ ไม่ให้มีสิทธิเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ เดือดร้อนกันไปทุกเส้นทาง ตั้งแต่วันพฤหัสแล้ว ดังนั้น วันเสาร์จึงค่อนข้างเงียบถึงเงียบมากเลยล่ะ อีกอย่าง ฝนตกทั้งวันเหมือนจะพัดไล่ไอ้พวกห่าให้พ้นไปจากถนนด้วย
แต่พอตกเย็น ฝนก็หยุดสนิท เรานัดกะต้าร์เจอกันที่คาร์ฟูลาดพร้าวเพราะบ้านใกล้กันและได้อาศัยรถต้าร์นั่งไปลงที่ตึกพญาไทเพื่อขึ้นรถตู้ที่จอดรอที่นั่นเลย ประมาณทุ่มครึ่ง ทุกคนก็มากันครบ ได้แก่ ต้าร์ เพด ปลา ดิโอ กริด คุโด้ เรา และก็คู่เพื่อนต้าร์อีกสองคน
เอ้า..ออกเดินทางกันโดยมีไกด์คนสวยแถมน่ารัก ชื่อผึ้ง นำทางไปเร้ย!!!
ระหว่างทางแวะกินข้าวกันที่ร้านข้าวต้มแถวๆจังหวัดเพชรบุรีหน่อย จากนั้นนั่งหลับๆตื่นๆดู"เป็นต่อ"กันจนมาถึงสุราษฎ์เอาตะวันขึ้นพอดี แวะแปรงฟันล้างหน้ากันกินข้าวต้มโจ๊กปากทางเข้าเขื่อน จากนั้นก็นี่เรย..ตามป้าย พอเข้าไปแค่ประมาณ 8 โมงเช้าเท่านั้น แต่แดดแรงยิ่งกว่าเสียงระเบิดในเมืองกรุงอีกแน่ะ ทำเอาเกือบไหม้ ดีนะที่เตรียมตัวไปพร้อม ทั้งหมวก เสื้อคลุม ครีมกันแดด หุหุ (แต่โดนประนามว่ากระเป๋าใหญ่โคดค่ะ)
เดินเล่นกันบนสันเขื่อน รูปนี้เสี่ยงตายปีนออกไปส่องกล้องจากมุมบนสันเขื่อน กะให้เห็นความสูง แต่ไหงออกมาเหมือนเป็นพื้นดินระนาบเดียวกันเรย? เอาเหอะ กล้องเด็กน้อยก็แบบเนี้ย เอาไรมาก แต่สิ่งแรกที่ทุกคนสะดุดก็คือ สีของน้ำซึ่งไม่ใช่น้ำทะเล เพราะไม่เค็ม แต่สีกลับเป็นสีเขียวมรกตเหมือนน้ำทะเลจริงๆ แถมใสสะอาด น่ากระโดดลงไปแช่ทั้งวันด้วย
นี่ยังถ่ายจากสันเขื่อนออกไป ขนาดกล้องเราห่วยแถมไม่ได้แต่งอะไรเลย ยังดูออกว่าสถานที่นี้มันสวยแค่ไหน แล้วลองไปดูกล้องของโปรอื่นๆสิ โห..สุดยอดดดดด
เดินกันตัวจวนจะไหม้ ไกด์จึงพาขึ้นรถไปดูบ่อน้ำผุดกันต่อ ซึ่งทุกที่ๆไปนี้ จะอยู่ในบริเวณเขาสกทั้งหมดนะ เพราะเขาสกใหญ่มากกกก...คาดคะเนแล้วน่าจะใกล้เคียงกับเขาใหญ่เชียวล่ะ บ่อน้ำผุดที่ว่านี้ก็ไม่ไกลจากสันเขื่อนเท่าไหร่ นั่งรถประมาณครึ่งชม.ก็ถึง ลงเดินเข้าปากันไปสิบนาที เจอล่ะ..อ้อ..ตามทางมีต้นไม้หายาก ต้นยางที่สงวนไว้ไม่ให้ตัด และป้ายต่างๆ เลยเก็บมาเป็นที่ระลึกซะหน่อย
บ่อน้ำผุดพิเศษตรงที่ว่า น้ำในบ่อจะทำปฎิกิริยากับเสียง เมื่อใดที่ได้ยินเสียงดังไม่ว่าจะเสียงคนหรืออะไรกระทบกัน น้ำจะผุดขึ้นมาจากพื้นดินทรายด้านล่างให้เห็น ปุ๊ด..ปุ๊ด.. แต่ช้าก่อน..อย่าริกระโดดลงไปเชียว เพราะอาจตะเกียกตะกายขึ้นมาไม่ได้ เนื่องจากบ่อนี้เป็นดินทรายดูดนะจ๊ะ หุหุ
ดูกันฉ่ำ ตบมือจนเจ็บแล้ว จึงได้ย้ายขบวนไปต่อกันที่ถ้ำปลาตะเพียนแดง เป็นถ้ำเล็กๆเองแหละ ไม่ค่อยมีอะไรในถ้ำมาก และก็เป็นทางผ่านที่เราจะไปเข้าที่พักพอดี เลยแวะให้อาหารปลาด้านหลังของถ้ำกันหน่อย แต่ปลาเยอะมากก อาจจะเพราะเป็นเขตอภัยทาน และมีฤาษีนั่งเฝ้าอยู่ด้วยก้อด้าย..
พอมาถึงที่พักกัน หมู่เฮาก็ยังมีแรง ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะเพื่อไปกระโดดน้ำเล่นกันต่อ แต่ทางไปนี่สิ ตอนแรกนึกว่าใกล้ๆ ไหนได้ เดินเกือบชม.กว่าจะถึงลำธารเนี่ย แต่พอไปถึงก็หายเหนื่อยนะ เพราะเห็นแล้วกรี๊ดอ่ะ ในป่ามีรีสอร์ทศิลป์ด้วย !! โอ้ว..เท่ห์สุดๆ มีบาร์เบียร์เล็กๆเฉพาะแขกที่นี่ด้วยนะ ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ เพราะมีบ้านแค่ 2-3 หลังเอง เห็นแต่ฝรั่งพักกันด้วย พวกนี้รู้ดีกว่าเราคนไทยอีกแฮะ
นี่ไง..จุดเด็ดของที่นี่ มีลำธารซึ่งน้ำไม่ลึกมาก พอให้ยืนได้ มีภูเขาหิน มีเถาวัลย์ให้ย้อยให้ห้อยโหนกระโดดน้ำเล่นกัน พวกหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างก็ไปโชว์ลีลา จา พนม ศิษย์สำนักเส้าหลิน กันใหญ่ หนุกหนานกันไปทั่วหน้า ทั้งไทยทั้งเทศ
เอ้า...เฮ!!! กระโดดน้ามของจริงๆ มีรูปเก็บมายืนยัน 555+ (ฝรั่งข้างหลังยืนมอง สงสัยพวกนี้จะบ้า)
เล่นน้ำกันจนเบื่อ จึงพากันเดินกลับมาบ้านที่พัก ก็ดีเลยล่ะ เพราะกลับมาเหนื่อยๆอีกรอบ จะได้อาบน้ำได้อย่างชุ่มฉ่ำ ก็ห้องน้ำเขาเก๋ซะปานนั้น เสียดายดันลืมถ่ายรูปมา บ้านทุกหลังสร้างไว้บนต้นไม้ อาจจะไม่ได้วางอยู่แต่ก็จะต้องมีต้นใหญ่ๆซักต้นสองต้นมาแปะประคองไว้ทุกบ้าน ไม่มีบ้านไหนอยู่ติดกับพื้นดินเลย ทำให้ต้องมีทางเดินแบบทาร์ซานอย่างในรูปที่เห็นเนี่ยแหละ เท่ห์ซ้า...
ตรงนี้เป็นบาร์เบียร์เล็ก เล็กกกก..ซึงต้องปีนขึ้นมานั่งบนต้นไม้ใหญ่จริงๆนะอันนี้ นั่งได้แค่ประมาณไม่เกิน 7-8 คนเห็นจะได้ สำหรับใครที่จะมาบอกรักกันอย่างเป็นธรรมชาติก็น่าจะลองไปดู ไอ้เรามันคนไม่มีคู่จึงได้แต่แอบมองคนอื่นเขาหนุงหนิงกันไป เห่อ...
ดอกอารัย? สวยแท้ เห็นเพื่อนบอกว่าเป็นดอกไม้ป่า ไม่กล้าจับกลัวมันเสียของ แต่ตัวดอกเหมือนพลาสติกมั่กๆ ทั้งที่มีรากหยั่งลงดินให้เห็นชัดๆ เนี่ยน้า..ธรรมชาติจริงๆก้อสวยแบบไม่ต้องปรุงแต่งเนอะ ต้นพวกนี้ปลูกอยู่ในรีสอร์ทบ้านต้นไม้ทั้งนั้นเลย เหมือนว่าเขาจะอนุรักษ์ต้นไม้ดอกไม้แปลกๆหายากไว้ด้วยล่ะ
นี่ไงบ้านเรา หลังนี้แหละ .. แต่บ้านเราไฮโซกว่าบ้านคนอื่น เพราะมีระเบียงส่องสัตว์ให้มานอนเล่นด้วย ฮี่ๆๆ พออาบน้ำแล้วชิลๆ ก็เลยชวนปลาเดินขึ้นมาถ่ายรูปเล่นกัน
สำราญม้ากกกค่า...
ยังไม่จบวันแรกนะ..มื้อค่ำของพวกเราตอน 6 โมงครึ่ง ก่อนหน้านั้นทำไรดี นี่เลย..กินเบียร์ ปาลูกดอก แทงพูล โอ้ว..สุขสันต์วันสงกรานต์จิงๆเรย..พี่น้อง
พอมืดหน่อย เรียกร้องขอดูตอนอวสานของเพลงรักข้ามภพ ยังไม่ทันจบวงดัมมี่ก็บรรเลง ช้าอยู่ใยกระโดดเข้าร่วมทันใด แฮ่ม...มันส์จริงๆ
ทั้งที่ง่วงโคดๆจากการเดินทางแต่กว่าจะได้มุดเข้ามุ้งก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน เห่อ...จบวันแรกแค่นี้ก่อน เอาวันสองมาต่ออีกที