วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒

กุ้ยหลินเมืองไทย

วันสุดท้ายที่กุ้ยหลินเมืองไทย เขื่อนรัชชประภา เขาสก จังหวัดสุราษฏ์ธานี ปักษ์ใต้บ้านเรา

เอาวิดิโอนี้มาลง เพราะอยากให้เห็นบรรยากาศโดยรอบของเวิ้งอ่าว ซึ่งไกลสุดลูกหูลูกตา เปรียบได้ดั่งทะเลจริงๆ เพราะน้ำก็ใส มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวเหมือนน้ำทะเล ตอนที่ถ่ายนี้กำลังนั่งชมวิวกันทั้งก๊วน แบกเป้สัมภาระขึ้นเรือเรียบร้อย เพราะพอจบจากชมกุ้ยหลินเราก็ขึ้นฝั่ง นั่งรถตู้กลับกรุงเทพกันเลย

อาจจะมีเสียงประกอบเล็กน้อยจากคนถ่าย หุหุ..มีหลายคนบอกว่าเสียงน่ารักนะจ๊ะ วู้ ฮู้วว...

เป็นไงล่า? สวยงาม สมคำร่ำลือจริงๆใช่ม้า?

อยากไปอีกจัง...

......

เก็บตก ทาร์ซานน้อย

ว่าแล้วก็ลองเอาวีดิโอที่นังเพดมานไม่ได้ตั้งใจถ่ายมาอัดลงในนี้ซะหน่อย

จะได้ยินเสียงมานนับ นึ่ง ส่องงง.. ด้วย ฮี่ๆ แสดงว่านั่นมานกำลังจะถ่ายรูป วะ ฮ่ะ ฮ่า มานกดปุ่มผิดคิดว่าปุ่มวิดิโอเป็นปุ่มถ่ายรูป กรั่กๆๆๆ

แต่ก็พอดีกับที่เจ้าเด็กทาร์ซานน้อยลูกฝรั่งข้างหลังมานกำลังห้อยโหนโจนทะยานเถาวัลย์มาโดดน้ำพอดี เลยได้ดูบรรยากาศโดดน้ำของจริงกันไป

สุขสันต์ สุขสันต์ ....

ปล.จากทริปเขาสก ลำธารน้อยในป่าใหญ่ รีสอร์ทศิลป์ธรรมชาติ

วันอาทิตย์ที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒

สงกรานต์ปีวัวบ้า3

14 เมษายน 2552

วันสุดท้ายแล้วของการท่องเที่ยวทั่วไทยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้ประเทศชาติในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและคนตกงาน

สถานการณ์ยามเช้าเมื่อตื่นขึ้นมา เมื่อคืนต้องบอกว่า ตื่นมาระหว่างทางประมาณสี่รอบเห็นจะได้ ไม่ได้เดินทางไปไหนนะ แต่ว่าหมายถึงระยะเวลาตั้งแต่เข้านอนตอนห้าทุ่มจนถึงเช้าตะวันโผล่ยอดเขาเนี่ย หลับเป็นช่วงๆจริงๆ ตอนแรกหลับไปแป๊บสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเจ้าเพด นึกว่ามันทะเลาะกับใคร อุตส่าห์เงี่ยหูฟัง ไหนได้ ตะโกนคุยกับห้องข้างๆ เห่อ.. แล้วยังไม่ทันไร ก็ต้องตื่นเพราะเสียงคนเดิน เสียงคนคุยกัน สุดท้ายเสียงคนกระโดดน้ำกันเลยนั่น โอ๊ย..แม่จ้าว นอนไม่ไหวแล้วเว้ยยยย...

ลุกออกมาก็เห็นภาพตรงหน้าแบบนี้แหละ นั่งอาบน้ำกันหน้ากระท่อมเรียบร้อยเชียว



อาบน้ำแต่งสวยกันเสร็จ แบกเป้ออกมาเตรียมตัว ในระหว่างนั่งรอกินข้าวเช้า ก็หยิบกล้องออกมาแชะๆๆๆกันหน่อย ได้รูประหว่างตะวันกำลังจะโผล่พ้นยอดเขา แสงเงาสวยเชียวล่ะ นางแบบก็ไม่ยอมน้อยหน้ากัน บิดซ้ายบิดขวาสุดๆ โหะๆๆ

เผลอแป๊บเดียว ตะวันโผล่ขึ้นมาบนยอดเขาแล้วโน่นๆ สวยเชียว แต่แสงร้อนแรงเหลือรับ นี่ขนาดยังไม่ทันออกมาเต็มตัวนะ รออีกเดี๋ยวเหอะ ได้เปรี้ยงๆกันแน่



ไม่มีคนถ่ายให้ อุตส่าห์ตั้งกล้องไว้ถ่ายเอง แหม..ดันมีนางแบบของคนอื่นเขาเดินเข้ามา เห่อ..เรามันคนไม่สำคัญ แต่แสงตอนนี้สำคัญกว่า สวยเชียว เป็นเส้นส่องตรงลงมาเลย



เลยหันมาอีกมุม คราวนี้ปลอดคน แต่แสงน้อยลงหน่อยแล้ว วันนี้ไม่ค่อยมีหมอกมาก เพราะอากาศมันร้อนแล้วนี่ ไม่เหมือนช่วงหน้าหนาวนะ จะเป็นกุ้ยหลินสมคำล่ำรือจริงแท้แน่นอน คราวนี้ก็ประมาณกุ้ยหลินเวอร์ชั่นร้อนๆไปก่อน



พอกินข้าวเช้าเรียบร้อย ย้ายสัมภาระลงเรือ โยนคน เอ้ย..ย้ายทุกคนลงเรือเรียบร้อยหมด พวกเราก็นั่งนิ่ง ให้คนขับเรือเขายักย้ายหางเสือไปเรื่อยๆ เช้านี้เป็นวันสุดท้าย และเราไม่สามารถไปลุยกันที่ไหนต่อได้แล้ว เนื่องจากสภาพอากาศ และเหนื่อย อีกทั้ง สถานการณ์ในเมืองกรุงยังไม่น่าไว้วางใจ ต้องคอยเช็คข่าวระหว่างทางด้วย จึงพร้อมใจกันไปนั่งเรือรอบอ่าว ชมกุ้ยหลินเมืองไทยให้หนำใจเป็นพอ
นี่แหละ ธรรมชาติของบ้านเมืองเรา จงภูมิใจเถอะที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินนี้ รักษ์และดูแลมันไว้ให้นานที่เท่าที่เราจะทำได้เป็นพอ
ไม่ได้มีแต่เรือเราเท่านั้นนะ ยังมีเรือของนักท่องเที่ยวลำอื่นด้วย แต่ถือว่าน้อยอ่ะ อีกทั้งเราเห็นฝรั่งแค่ไม่กี่คนเองที่มาเที่ยว อยากให้ช่วยเหลือประเทศกันมากกว่านี้นะ ถ้าทำได้ ช่วยกันหน่อย




เข้ามาถึงแล้ว กุ้ยหลินเมืองไทย แต่พอเข้ามาแสงหายหมดเลย กลายเป็นเงามืดไปหมด ได้ยินแต่เสียงไกด์บอกว่า ภูเขาสามลูกที่อยู่ข้างหน้าชื่อ เขาสามเกลอ และทางซ้ายสุดชื่อเขากระต่าย เพราะรูปร่างเหมือนกระต่าย อืมมม..พอมองออก

อีกซักหน่อย ก่อนจะถึงฝั่ง ความจริงมีถ่ายวิดิโอมาด้วย อยากเก็บหน้าตาผู้ร่วมเดินทาง แต่ไฟล์ใหญ่เกิน ยังเอาลงไม่ได้ แล้วถ้าเป็นวิดิโอเราก็จะเห็นภาพเคลื่อนไหวจริงๆของบรรยากาศด้วยเนอะ เอาไว้วันหลังเอามาลงให้เป็นที่ระลึกดีกว่า ถ้าทำได้นะ
พวกเรามาถึงฝั่งกันตอน 9.30 พอดี ยังไม่สายเลย แต่ก็ดีแล้วล่ะ จะได้รีบๆเดินทางกัน ยังง่วงๆอยู่ด้วย พอรถออกกะว่าจะนอนหลับซักหน่อย พวกเจ้าเพดชวนเล่นดัมมี่อีกแระ เอ้า..เล่นก็เล่นฟระ ผลปรากฏว่า จะอ้วกค่ะ เพราะหันเก้าอี้มานั่งชนกัน เรานั่งหันหลังให้คนขับ ก้มๆเงยๆอยู่หลายที พอรถจอดซื้อของ ไม่หวายค่า..ขอเปลี่ยนกลับที่เดิม นอนดีกว่านะค้า..



มาแวะกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านคุณสาหร่าย ร้านนี้เขาใหญ่โตขึ้นชื่อลือชาทางสายใต้มั่กๆ รถทัวร์แทบทุกคันต้องมาจอดกินข้าวที่นี่แหละ มื้อนี้ไกด์ก็ยังมีงบให้พวกเราได้อิ่มกันอีกมื้อนะ แหม..ดีจริงๆ ล่อซะสองจาน แถมของหวานอีก แปร้...
ขึ้นรถ ดูเป็นต่อไปเรื่อย แต่ดูเท่าไหร่ก็ยังไม่จบปีแรกซักทีนะ โห..เยอะมากมาย ดูจนจะอ้วกอีกรอบ
ประมาณ 5 โมงครึ่งก็มาถึงตลาดหัวหิน ตกลงใจกันไม่ได้ว่าจะกินอะไรเลยต่างคนต่างไปหากินเอาเอง บ้างก็กลายร่างเป็นนักชอปไปซะงั้น แต่งานนี้เจ๊ม่าย..ขอแค่เดินชมเท่านั้น เดินๆไปเลยได้หยุดดูข่าวที่โทรทัศน์ของพ่อค้ารายหนึ่ง พอดีทั่นนายกอภิสิทธิ์ออกมาแถลงการณ์สรุปข่าวให้ฟังพอดี นับเป็นข่าวดีของพวกเราด้วย เพราะว่า ทางสะดวกแล้วสำหรับคณะเรา ..ว๊าวว..อะไรจะดีขนาดน้านพี่น้อง ...
ออกจากหัวหิน 6.30 เฮฮาปาร์ตี้กันมาเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน รถไม่ติดและทางก็สะดวกมั่กๆ มาถึงกรุงเทพฯกันยังไม่สี่ทุ่มเลย ความจริงแวะส่งตามรายทางด้วยนะ ยังมาถึงตึกพญาไทแค่ 3 ทุ่มครึ่งเอง เราก็ติดรถต้าร์มาลงหน้าคาร์ฟูเหมือนเดิม ว้า..เหมือนยังไม่ได้ไปเลยอ่ะ กลับมาแล้วหรอ???
เออ..ระหว่างทางเข้ามาพญาไท ผ่านจุดเกิดเหตุหมดทุกเส้นเลยล่ะ ตั้งแต่เลียบๆแถวทำเนียบ นางเลิ้งตรงที่เผารถกลางถนนกันนั่น ยังมีทหารยืนถือปืนเกาะรั้วอยู่เต็มไปหมด แล้วยังเรื่อยมาบนถนนเพชรบุรี แต่เห็นแล้วรู้สึกอบอุ่น ดีกว่าเห็นพวกเสื้อแดงเยอะเลยอ่ะ นี่ความรู้สึกจริงๆเลยนะ ขอบอก ... หุหุ



จบทริปเขาสกแต่เพียงเท่านี้ พรุ่งนี้วันจันทร์ กลับไปลุยงานกันต่อ ชีวิตต้องเดินต่อไป การเดินทางไม่มีวันสิ้นสุด สู้ สู้

วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒

สงกรานต์ปีวัวบ้า2

13 เมษายน 2552

ตื่นเช้ามาวันที่สองบนบ้านต้นไม้ ทั้งที่ยังสลึมสลือมัวซัวนัยน์ตาอยู่ แต่ก้อต้องฝืนสังขารลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเก็บข้าวของลงกระเป๋า แบกเป้ออกไปกินข้าวเช้าแล้วเดินทางไปกันต่ออีกที่หนึ่ง



ก่อนไปเราก็ชักชวนสมาชิกมาถ่ายภาพหมู่กันซะหน่อย ตากล้องเป็นเจ้าเพดเลยไม่มีหน้ามานในนี้แต่ไม่เป็นไร อยากให้เห็นบรรยากาศโดยรวมของบ้านต้นไม้มากกว่า ตรงนี้เป็นทางเข้ามีป้ายชัดเจนบนหัว



นั่งสัปหงกในรถมาไม่ทันไร ถึงท่าเรือที่เขื่อนอีกแล้ว เรากำลังจะลงเรือหางยาวเพื่อข้ามไปนอนแพในน้ำกัน แพที่เลื่องชื่อของที่นี่เขาชื่อ แพ500ไร่ แต่แพที่เราจะไปพักชื่อ แพเพลินไพร ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ แล้วพอไปเห็นแพ500ไร่แล้ว เราว่าแพเราเก๋กว่าอีก เพราะแพเพลินไพรนี้สร้างอยู่กลางระหว่างสองเกาะเลย ทำให้น้ำใสน่าเล่นมั่กๆ เพราะถึงแม้ด้านบนน้ำจะนิ่งแต่น้ำไม่ขังอยู่ที่แพแน่นอน

อ่า..รูปนี้มีเจ้าเพดแล้วนี่ไง!


ขณะนั่งเรือหางยาว เราก็สอดส่ายสายตาไปรอบๆ เห็นแต่ภูเขาๆๆๆกับน้ำสีเขียวๆ ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่ไม่ใช่ทะเลจริงๆ แต่เป็นน้ำในเขื่อน เพราะกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตาจริงๆ มีเรือหางยาวเท่านั้นที่จะเป็นพาหนะนำนักท่องเที่ยวไปไหนต่อไปในเขื่อนนี้ได้ แต่บางจุดเรือหางยาวก็ผ่านไม่ได้อีกเหมือนกัน ด้วยเหตุผลทางธรรมชาติที่ต้องรักษาสภาพแวดล้อมไว้ บางครั้งเราจึงต้องใช้แพยนต์กันแทน



ตรงนี้เป็นปลายๆเทือกเขาแล้ว ความจริงถ่ายมาเรื่อยแต่ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ ขี้เกียจมาแต่งภาพอีกต่างหาก ช่างมันเหอะ แค่นี้ก็พอดูได้ เอาให้รู้ว่าไปไหนมาแค่นั้นพอ

ถึงแล้ว แพเพลินไพร ที่พักคืนที่สองของพวกเรา ตรงที่เรายืนถ่ายรูปนี่เป็นจุดกลางระหว่างสองฝั่ง แล้วเขาก็จะมีร้านอาหารอยู่ตรงนี้แหละ คนมาพักที่นี่เขาจะคิดเป็นรายหัวเลย เพื่อสะดวกในการให้บริการเพราะต้องทำอาหารเลี้ยงอยู่แล้ว คุณไม่สามารถเลือกสั่งกินเองได้หรอก ของมันหายากนะ แต่คิดว่าก็ไม่แพงหรอก

ส่วนบ้านเราหรอ? โน่นนน..หลังที่3จากริมสุดนู่นนนน...

พอเอาของเข้าเก็บได้ ก็ไปกันต่อ ไกด์ผึ้งพาไปเดินเล่นข้ามภูเขาลูกหนึ่ง ตอนออกมาจากแพนั่งเรือหางยาวแหละ แล้วก็ลงจากเรือมาเดินข้ามภูเขากัน ไม่ใช่เดินแบบธรรมดาด้วย เดินไต่เขาเห็นจะได้ ทางขึ้นเขาเป็นเนินชันมากเป็นช่วงยาวๆ มีหอบแฮ่กกันไปหลายคน บางคนต้องมีเครื่องมือค้ำถ่อช่วยพยุง ฮู้ว..ส่วนเดี๋ยนพันธ์อึดฮ่ะ สบายมั่ก แค่นี้ เดะๆ

ข้ามภูเขามาเสร็จก็ลงแพยนต์ต่อไปอีกหน่อย ตอนนั่งแพยนต์นี่ก็ได้บรรยากาศสนุกไปอีกรูปแบบนะ เพราะมันโล่ง เรียบเหลือหลาย เหมือนเรานั่งไปบนน้ำเลย น้ำก็แทบไม่กระเพื่อมด้วยซ้ำ เจ้าเพดหามุกแปลกมาเล่น นั่งถ่ายรูปดีๆไม่ชอบ มานเล่นนอนถ่าย เสร็จแล้วเอาหัวราน้ำไปเลย ดีนะ..ไม่มีพวกปิรันย่า หรือ อนาคอนด้า เอิ๊กๆๆ



เดินเข้าถ้ำประการังกันต่อ แต่พอมาถึงถ้ำนี้แบตกล้องเราก็หมดพอดี ไม่มีรูปกลับมาเองซ้ากใบ ต้องรอขอจากกล้องคนอื่น ถ้ำนี้สวยนะ ในความเห็นเรา เหมือนถ้ำยังมีชีวิตอยู่เลยอ่ะ หินยังงอกอยู่ทุกวัน น้ำก็ยังมีหยดจากปลายติ่งให้ย้อยลงมางอกที่พี้น รูปร่างของหินก็ดูแปลกตามีชีวิตชีวา มีทั้งผนังที่เหมือนม่านโรงละคอน ด้านหน้าทางเข้าก็เหมือนมีผู้หญิงห่มผ้าสใบยืนอยู่ แถมมองขึ้นด้านบนก็เห็นเป็นหัวเอเลี่ยนห้อยลงมา หันไปข้างฝาอีกด้านก็เหมือนเป็นคนแคระตัวเขียวนั่งอยู่ มีให้จินตนาการตลอดทางเลยว่างั้น คนนำทางและคนเฝ้าดูแลก็เป็นคนของป่าไม้ เขาค่อนข้างดูแลอย่างดีเชียว ดีแล้วล่ะ จะได้เก็บไว้ได้นานๆ


พอเรียบร้อยจากถ้ำ ก็เดินย้อนรอยข้ามภูเขาลูกนั้นกลับมาอีก ประมาณว่าไปกลับ 2กม. กว่าๆ แต่เนื่องจากทางเป็นเนินชันจึงเหนื่อยเป็นพิเศษ และร้อนมากด้วย ฉะนั้นพอมาถึงแพ จึงได้แก่เวลากระโดดน้ำเล่นกันอีกครั้ง คราวนี้สนุกเต็มตัวกว่าเมื่อวานเพราะน้ำลึกท่วมหัวท่วมตัวแน่นอน จึงต้องอาศัยชูช๊พช่วยพยุงไว้ก่อน กันจม(แหม..ว่ายน้ำเก่งซะขนาดนี้ หุหุ) เล่นน้ำกันซะจนเย็นเลย ประมาณสามชม.เห็นจะได้

ก่อนเล่นก็มีการให้อาหารคนในน้ำ คุโด้มานทำท่าเหมือนมั่กๆ เสียดายไม่มีรูปในกล้องเรา แต่พอลงน้ำจริงๆ มีความสุขมากเลยอ่ะ น้ำนิ่ง และก็ไม่เย็น อุ่นกำลังดี ไม่เหนื่อยเลยด้วย เพราะถ้าอยู่นิ่งๆ เราก็ไม่โดนพัดไปไหน ที่แพเขายังมีเรือคายัคให้พายเล่นกันอีกต่างหาก หลายคนสนุกสนานพายกันออกไปไกลๆ อย่างเจ้าคุโด้เนี่ยว่ายน้ำไม่เก่งนะ แต่สามารถพายออกไปนอนเล่นกลางน้ำคนเดียวได้ตั้งไกล มันสามารถจริง พอพายไปมา ไม่หนำใจ คว่ำเรือมันซะอย่างนั้น ไม่มีใคร เจ้ากริดนั่นเอง อยากจะขึ้นไปนั่งด้วย แต่เนื่องจากลำตัวที่พองเกินเรือต้าน มันจึงพลิกคว่ำให้ได้หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง งานนี้กว่าจะลากเรือขึ้นแพ เอาน้ำออกได้ เล่นเอาเจ้าเพดกะเจ้ากริดเหนื่อยแฮ่ก 555+


ขอชิลๆหน้าแพหน่อย ตอนนี้หน้ายังดำๆอยู่เรย เพิ่งนั่งเรือมาถึงจากฝั่งไง ยังไม่ได้เข้าที่พักเลย แต่เห็นบรรยากาศเขาแล้ว สวยเกินห้ามใจไม่ให้ถ่าย คนไม่สวยเอาวิวสวยไว้ก่อนไม่เป็นไร ดูน้ำสิ เขียวใสดีจริงๆเรยอ่ะ
ว่าแล้วก็อยากกลับไปนอนเล่นอีกนะ...คิคิ

เล่นน้ำกันซะชุ่มปอด ห้าโมงครึ่งโน่นกว่าจะขึ้นจากน้ำมาแต่งตัวกัน ความจริงเราถือโอกาสอาบน้ำมันตอนที่เล่นกันนั่นแหละ เอายาสระผม ยาขัดตัวมาละเลงกันตรงนั้นเลยเชียว ได้อารมณ์ชนบทดีจริงพี่น้อง เอ๊ะ..ดูเป็นต่อมากเกิน ชักจะติดพีน้องมันมาซะแระ
อาหารเย็นเริ่มตอนหกโมงกว่าเช่นเดิม วันนี้มีปลาตะเพียนตัวใหญ่ด้วย น่ากินใช่เล่นนะ หุหุ
เสร็จจากอาหารเย็น เราก็บรรเลงเพลงดัมมี่กันต่อ แต่เล่นไปเล่นมา ต้าร์มันน๊อคอยู่คนเดียว เจ้าเพดเรียกร้องขอเปลี่ยนเป็นป๊อกเด้งแล้วกัน เอ้า..ได้เรย เด้งกันต่อจนถึงสี่ทุ่มครึ่งต้องเลิก เพราะเขาจะหยุดปั่นไฟตอนห้าทุ่ม ต้องรีบเข้าห้องเตรียมตัวนอน แต่อากาศมันร้อนได้จัยดีจริงๆ เพราะฝนทำท่าจะตกแต่ก็ไม่ตกซะงั้น ความจริงเรามีกำหนดว่าจะไปถ้ำน้ำทะลุกันด้วยนะ แต่ว่าน้ำขึ้นไม่แน่นอน ไกด์เลยพาไปไม่ได้ ดีแล้วล่ะ เพราะถ้าไปต้องเดินอีก 14 กม. จ๊ากก..3 ชม.กว่าเลยนะนั่น !!
วันนี้เห็นข่าวตอนเย็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในกรุงเทพฯ น่าสะเทือนใจแท้ เห่อ..บ้านเมืองเรา ขอให้พ้นจากอำนาจมืดและสิ่งชั่วร้ายโดยเร็ววันด้วยเถอะ คนที่คิดทำลายบ้านเมืองทั้งหลาย ขอให้มันตายหายไปจากโลกนี้เลยได้ยิ่งดี สาธุ...
ขอบุญบารมีของในหลวงจงคุ้มครอง.....





วันศุกร์ที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒

สงกรานต์ปีวัวบ้า1

เดือนเมษามาเยือนอีกครั้งแล้วสินะ เพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไหร่เอง เวลาไม่เคยคอยใครจริงๆ เราต้องเดินไปให้ทันเวลาอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นอาจแย่

ความจริงเดือนนี้ก็มีดีที่สุดอยู่ตรงที่วันหยุดยาวของคนไทยทั้งประเทศนี่แหละ เทศกาลสงกรานต์งานปีใหม่ไทยนี่ล่ะ ทำให้เราได้มีโอกาสตลุยตลอนไปไหนๆทุกปี ไม่เว้นแม้แต่ปีนี้ที่ตอนแรกคิดว่าคงได้แต่นั่งดูทีวีอยู่กับบ้าน(คนเดียว) แต่ไหนได้ เจ้าเพดกราดมาชวนเอาก่อนไปแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น ทำหยั่งกะมันรู้ว่าเราไม่มีที่ไปงั้นแหละ(เออ..ก้อไม่มีจริงๆนี่หว่า) ตกลงใจไปเกือบจะยังไม่วางสายแน่ะ หุหุ ...

ไปไหนหรอ? เขาสก เขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎ์ธานี แถบเกาะสมุยนั่นไง แต่ขอบอกว่านี่เป็นครั้งแรกนะ ที่ได้ไปเยือนดินแดนที่กำลังฮอตฮิตในนาม กุ้ยหลินเมืองไทย

ออกเดินทางเย็นวันเสาร์ที่ 11 เมษา เพราะก่อนหน้านั้นคิดว่ารถคงจะติดมากในเย็นวันศุกร์ แต่ไหนได้ คนหายไปไหนกันหมด? อ้อ..หายไปเพราะโจรเสื้อแดงนั่นเอง เพราะพวกมันเริ่มวีรกรรมเยี่ยงโจรออกมารุกล้ำพื้นที่ส่วนรวมของประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเราๆ ไม่ให้มีสิทธิเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ เดือดร้อนกันไปทุกเส้นทาง ตั้งแต่วันพฤหัสแล้ว ดังนั้น วันเสาร์จึงค่อนข้างเงียบถึงเงียบมากเลยล่ะ อีกอย่าง ฝนตกทั้งวันเหมือนจะพัดไล่ไอ้พวกห่าให้พ้นไปจากถนนด้วย

แต่พอตกเย็น ฝนก็หยุดสนิท เรานัดกะต้าร์เจอกันที่คาร์ฟูลาดพร้าวเพราะบ้านใกล้กันและได้อาศัยรถต้าร์นั่งไปลงที่ตึกพญาไทเพื่อขึ้นรถตู้ที่จอดรอที่นั่นเลย ประมาณทุ่มครึ่ง ทุกคนก็มากันครบ ได้แก่ ต้าร์ เพด ปลา ดิโอ กริด คุโด้ เรา และก็คู่เพื่อนต้าร์อีกสองคน

เอ้า..ออกเดินทางกันโดยมีไกด์คนสวยแถมน่ารัก ชื่อผึ้ง นำทางไปเร้ย!!!


ระหว่างทางแวะกินข้าวกันที่ร้านข้าวต้มแถวๆจังหวัดเพชรบุรีหน่อย จากนั้นนั่งหลับๆตื่นๆดู"เป็นต่อ"กันจนมาถึงสุราษฎ์เอาตะวันขึ้นพอดี แวะแปรงฟันล้างหน้ากันกินข้าวต้มโจ๊กปากทางเข้าเขื่อน จากนั้นก็นี่เรย..ตามป้าย พอเข้าไปแค่ประมาณ 8 โมงเช้าเท่านั้น แต่แดดแรงยิ่งกว่าเสียงระเบิดในเมืองกรุงอีกแน่ะ ทำเอาเกือบไหม้ ดีนะที่เตรียมตัวไปพร้อม ทั้งหมวก เสื้อคลุม ครีมกันแดด หุหุ (แต่โดนประนามว่ากระเป๋าใหญ่โคดค่ะ)

เดินเล่นกันบนสันเขื่อน รูปนี้เสี่ยงตายปีนออกไปส่องกล้องจากมุมบนสันเขื่อน กะให้เห็นความสูง แต่ไหงออกมาเหมือนเป็นพื้นดินระนาบเดียวกันเรย? เอาเหอะ กล้องเด็กน้อยก็แบบเนี้ย เอาไรมาก แต่สิ่งแรกที่ทุกคนสะดุดก็คือ สีของน้ำซึ่งไม่ใช่น้ำทะเล เพราะไม่เค็ม แต่สีกลับเป็นสีเขียวมรกตเหมือนน้ำทะเลจริงๆ แถมใสสะอาด น่ากระโดดลงไปแช่ทั้งวันด้วย


นี่ยังถ่ายจากสันเขื่อนออกไป ขนาดกล้องเราห่วยแถมไม่ได้แต่งอะไรเลย ยังดูออกว่าสถานที่นี้มันสวยแค่ไหน แล้วลองไปดูกล้องของโปรอื่นๆสิ โห..สุดยอดดดดด

เดินกันตัวจวนจะไหม้ ไกด์จึงพาขึ้นรถไปดูบ่อน้ำผุดกันต่อ ซึ่งทุกที่ๆไปนี้ จะอยู่ในบริเวณเขาสกทั้งหมดนะ เพราะเขาสกใหญ่มากกกก...คาดคะเนแล้วน่าจะใกล้เคียงกับเขาใหญ่เชียวล่ะ บ่อน้ำผุดที่ว่านี้ก็ไม่ไกลจากสันเขื่อนเท่าไหร่ นั่งรถประมาณครึ่งชม.ก็ถึง ลงเดินเข้าปากันไปสิบนาที เจอล่ะ..อ้อ..ตามทางมีต้นไม้หายาก ต้นยางที่สงวนไว้ไม่ให้ตัด และป้ายต่างๆ เลยเก็บมาเป็นที่ระลึกซะหน่อย
บ่อน้ำผุดพิเศษตรงที่ว่า น้ำในบ่อจะทำปฎิกิริยากับเสียง เมื่อใดที่ได้ยินเสียงดังไม่ว่าจะเสียงคนหรืออะไรกระทบกัน น้ำจะผุดขึ้นมาจากพื้นดินทรายด้านล่างให้เห็น ปุ๊ด..ปุ๊ด.. แต่ช้าก่อน..อย่าริกระโดดลงไปเชียว เพราะอาจตะเกียกตะกายขึ้นมาไม่ได้ เนื่องจากบ่อนี้เป็นดินทรายดูดนะจ๊ะ หุหุ
ดูกันฉ่ำ ตบมือจนเจ็บแล้ว จึงได้ย้ายขบวนไปต่อกันที่ถ้ำปลาตะเพียนแดง เป็นถ้ำเล็กๆเองแหละ ไม่ค่อยมีอะไรในถ้ำมาก และก็เป็นทางผ่านที่เราจะไปเข้าที่พักพอดี เลยแวะให้อาหารปลาด้านหลังของถ้ำกันหน่อย แต่ปลาเยอะมากก อาจจะเพราะเป็นเขตอภัยทาน และมีฤาษีนั่งเฝ้าอยู่ด้วยก้อด้าย..
พอมาถึงที่พักกัน หมู่เฮาก็ยังมีแรง ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะเพื่อไปกระโดดน้ำเล่นกันต่อ แต่ทางไปนี่สิ ตอนแรกนึกว่าใกล้ๆ ไหนได้ เดินเกือบชม.กว่าจะถึงลำธารเนี่ย แต่พอไปถึงก็หายเหนื่อยนะ เพราะเห็นแล้วกรี๊ดอ่ะ ในป่ามีรีสอร์ทศิลป์ด้วย !! โอ้ว..เท่ห์สุดๆ มีบาร์เบียร์เล็กๆเฉพาะแขกที่นี่ด้วยนะ ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ เพราะมีบ้านแค่ 2-3 หลังเอง เห็นแต่ฝรั่งพักกันด้วย พวกนี้รู้ดีกว่าเราคนไทยอีกแฮะ
นี่ไง..จุดเด็ดของที่นี่ มีลำธารซึ่งน้ำไม่ลึกมาก พอให้ยืนได้ มีภูเขาหิน มีเถาวัลย์ให้ย้อยให้ห้อยโหนกระโดดน้ำเล่นกัน พวกหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างก็ไปโชว์ลีลา จา พนม ศิษย์สำนักเส้าหลิน กันใหญ่ หนุกหนานกันไปทั่วหน้า ทั้งไทยทั้งเทศ
เอ้า...เฮ!!! กระโดดน้ามของจริงๆ มีรูปเก็บมายืนยัน 555+ (ฝรั่งข้างหลังยืนมอง สงสัยพวกนี้จะบ้า)

เล่นน้ำกันจนเบื่อ จึงพากันเดินกลับมาบ้านที่พัก ก็ดีเลยล่ะ เพราะกลับมาเหนื่อยๆอีกรอบ จะได้อาบน้ำได้อย่างชุ่มฉ่ำ ก็ห้องน้ำเขาเก๋ซะปานนั้น เสียดายดันลืมถ่ายรูปมา บ้านทุกหลังสร้างไว้บนต้นไม้ อาจจะไม่ได้วางอยู่แต่ก็จะต้องมีต้นใหญ่ๆซักต้นสองต้นมาแปะประคองไว้ทุกบ้าน ไม่มีบ้านไหนอยู่ติดกับพื้นดินเลย ทำให้ต้องมีทางเดินแบบทาร์ซานอย่างในรูปที่เห็นเนี่ยแหละ เท่ห์ซ้า...


ตรงนี้เป็นบาร์เบียร์เล็ก เล็กกกก..ซึงต้องปีนขึ้นมานั่งบนต้นไม้ใหญ่จริงๆนะอันนี้ นั่งได้แค่ประมาณไม่เกิน 7-8 คนเห็นจะได้ สำหรับใครที่จะมาบอกรักกันอย่างเป็นธรรมชาติก็น่าจะลองไปดู ไอ้เรามันคนไม่มีคู่จึงได้แต่แอบมองคนอื่นเขาหนุงหนิงกันไป เห่อ...

ดอกอารัย? สวยแท้ เห็นเพื่อนบอกว่าเป็นดอกไม้ป่า ไม่กล้าจับกลัวมันเสียของ แต่ตัวดอกเหมือนพลาสติกมั่กๆ ทั้งที่มีรากหยั่งลงดินให้เห็นชัดๆ เนี่ยน้า..ธรรมชาติจริงๆก้อสวยแบบไม่ต้องปรุงแต่งเนอะ ต้นพวกนี้ปลูกอยู่ในรีสอร์ทบ้านต้นไม้ทั้งนั้นเลย เหมือนว่าเขาจะอนุรักษ์ต้นไม้ดอกไม้แปลกๆหายากไว้ด้วยล่ะ

นี่ไงบ้านเรา หลังนี้แหละ .. แต่บ้านเราไฮโซกว่าบ้านคนอื่น เพราะมีระเบียงส่องสัตว์ให้มานอนเล่นด้วย ฮี่ๆๆ พออาบน้ำแล้วชิลๆ ก็เลยชวนปลาเดินขึ้นมาถ่ายรูปเล่นกัน


สำราญม้ากกกค่า...
ยังไม่จบวันแรกนะ..มื้อค่ำของพวกเราตอน 6 โมงครึ่ง ก่อนหน้านั้นทำไรดี นี่เลย..กินเบียร์ ปาลูกดอก แทงพูล โอ้ว..สุขสันต์วันสงกรานต์จิงๆเรย..พี่น้อง
พอมืดหน่อย เรียกร้องขอดูตอนอวสานของเพลงรักข้ามภพ ยังไม่ทันจบวงดัมมี่ก็บรรเลง ช้าอยู่ใยกระโดดเข้าร่วมทันใด แฮ่ม...มันส์จริงๆ
ทั้งที่ง่วงโคดๆจากการเดินทางแต่กว่าจะได้มุดเข้ามุ้งก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน เห่อ...จบวันแรกแค่นี้ก่อน เอาวันสองมาต่ออีกที