วันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

งาน

ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการทำงาน ในขณะที่ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก

คนอื่นอาจจะบอกอีกอย่างว่า คิดอย่างนี้ไม่ถูก เราควรคิดว่าการทำงานคือ สิ่งแรกที่ควรคิดถึงและพึงกระทำให้ได้มากที่สุด

แต่เราว่า การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จะไม่มีค่าและความหมายอะไรให้จดจำมากนัก ถ้าทุกวันทุกเวลา ต้องมุ่งหน้าทำแต่งาน ทำแต่สิ่งที่เพื่อจะให้บรรลุเป้าหมาย

บางครั้ง ความสุขที่แท้จริง อาจอยู่เพียงแค่การนอนหลับตานิ่งๆ หวนนึกถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาก็ได้

แต่ขณะนี้ เราทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงแม้ว่าควรแก่เวลาที่ต้องทำแล้วก็ตาม

เรายังต้องทำงาน ซึ่งก็หาข้ออ้างทางธุรกิจอื่นๆไม่ได้ว่า ไม่มีเวลาทำ และจะต้องทำให้ได้มากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เนื่องด้วยภาระหน้าที่อันหนักหนาสาหัส ไม่ทำตอนนี้ ก็ไม่มีคนทำตอนไหนทั้งนั้น

คาดหวังไว้ว่า ปีใหม่นี้จะเริ่มต้นด้วยพนักงานใหม่อีกอย่างน้อย 2 คน และคนเก่าที่ทำท่าเหมือนจะไม่ทำงานแล้ว จะอยากกลับมากระตือรือล้นทำต่อไป

ขอเพียงให้ทุกอย่างลงตัวอีกสักพัก ไม่หวังอะไรมากไปกว่านี้หรอก

เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะได้มีความสุขจริงๆเสียที ...

วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เพื่อนเก่า

ดีจัง มีเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ เป็นความเหงา..

ไม่เคยห่างหายไปไหนจากเราได้นานเกินลืม เดี๋ยวเดียวก็กลับมาอยู่เป็นเพื่อนกันอีกแล้วนะ เจ้าความเหงาเนี่ย คนอื่นไม่รู้เขาจะคิดยังไงกับมัน แต่เราว่า ถ้าไม่มีมันมานอนด้วยซักคืน เราคงรู้สึกแปลกไปจากเดิมเยอะอ่ะ

พอโตๆกันขึ้นมา อะไรๆที่เคยเป็นอยู่กันแบบง่ายๆ มันก็กลับกลายเป็นเรื่องยากเย็นขึ้นมาซะเฉยๆ จากที่เคยพูดกันแค่ไม่กี่คำก็รู้เรื่อง กลายเป็นว่าต้องเรียกมานั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ถึงขนาดนั้นแล้วบางที ยังไม่เหลือคำว่า เพื่อน ไว้ให้เชื่อใจในคำพูดกันอีกแน่ะ

แล้วนี่ยิ่งโตขึ้น เราจะเรียก เพื่อนที่เป็นมนุษย์แบบเราๆ ว่า เพื่อนเก่า ได้ยังไง ?

ก็คงมีแต่ เจ้าเพื่อนเก่าที่เป็น ความเหงา นั่นแหละ ที่คงอยู่กับเราตลอดมาและคงจะตลอดไป

วันอังคารที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เวลา

บางที วันเวลาที่ผ่านไป มันก็ทำให้เราเวียนกลับมาอยู่ที่จุดเดิมได้อีกเหมือนกันนะ

เรื่องราวที่ผ่านมาในช่วงเดือนที่แล้ว เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ทั้งที่เกิดขึ้นจริงแบบตื่นๆ และแบบหลับๆ

เรื่องที่เคยฝันมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา อยู่ๆมันก็เกิดขึ้นได้แบบไม่ทันตั้งตัว คือเรื่อง พ่อ(แท้ๆ) ของตัวเอง ซึ่งหายไปจากชีวิตเราอย่างยาวนาน แต่ไม่เคยหายไปจากใจเราหรอก เพราะเรามักจะมั่นใจว่า วันหนึ่ง พ่อจะต้องกลับมาอยู่ด้วยกันอีก

และวันนี้ พ่อก็กลับมาแล้ว ..

แต่มาในสภาพที่พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ กินอาหารเองไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พูดง่ายๆคือ เป็นอัมพาตไปครึ่งตัว!

เราไม่ถึงกับตกใจจนไม่มีสติ เพราะคนวัยนี้แล้ว ย่อมต้องประสบกับความเจ็บป่วย อายุพ่อปีนี้ 74 เข้าไปแล้ว แค่ยังหวังเล็กน้อย ว่าแกจะกลับมาพูดได้บ้างเหมือนเดิม

เพราะเราไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวของพ่อเลย ถ้าเวลาช่วงบั้นปลายของชีวิตแล้ว เรายังไม่ได้ยินได้ฟังจากปากเขา ชาตินี้ เราก็คงไม่รู้จักเขาจริงๆเสียที แต่ไม่เป็นไร ถ้าอะไรจะเกิด ก็ต้องเป็นไปตามนั้นล่ะ ฝืนมันคงไม่ได้

ช่วงชีวิตของเรา คงเวียนกลับมาเป็นเหมือนตอนอายุสิบกว่าๆอีกครั้ง ตอนที่เราไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครเลย แต่แค่เพียงเรารับรู้ได้ ว่าภาระอันหนักอึ้งที่แบกไว้บนบ่านี้นั้น จะต้องคงอยู่และทำตกหล่นหายไปไหนไม่ได้เป็นอันขาด

และเรา .. ก็คงต้องเดินต่อไป เพียงลำพัง ไม่ใช่แค่ เพราะเราไม่มีใคร แต่.. เราไม่สามารถมีใครได้ต่างหาก !