วันอังคารที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ถึงแล้ว เยอรมัน


การเดินทางครั้งนี้ ไม่มีอุปสรรคใดๆเกิดขึ้นเรยในระหว่างทาง เริ่มตั้งแต่จัดแจงกระเป๋าตอนสายๆจนถึงบ่าย4โมงถึงได้อาบน้ำแต่งตัวกินข้าว ออกจากบ้านไปสนามบิน ทั้งๆที่ออกจากบ้านสายกว่ากำหนดตั้งครึ่งชม.แต่ยังไปถึงสนามบินก่อน 6 โมงเย็นด้วยซ้ำ ไปถึงก้อเช็คอินเรยไม่ต้องรอ แต่ว่ามีคำถามจากนายตรวจว่า "ทำไมหน้าเราไม่เหมือนกับในรูปเรย คนเดียวกันหรือป่าว?" ฮ่าๆๆๆ สวยขึ้นชิมิล่ะ? คิคิ

จากสุวรรณภูมิมาถึงโดฮาใช้เวลา 7 ชม.สบายๆ กะว่าจะรีบนอนให้หลับ แต่พอจะหลับตาลงดันนึกขึ้นได้ว่า เอ๊ะๆๆๆ เราได้เอาเสื้อโค้ตตัวยาวที่ซื้อมาใหม่ยัดใส่ลงในกระเป๋าหรือป่าวน้า ตอนจะปิดกระเป๋า นึกเท่าไหร่ก้อนึกไม่ออก ทำให้การนอนหลับช่วงแรกของเราล้มเหลว ได้นอนแค่ไม่ถึง 2 ชม. จากนั้นก็ถึงโดฮา รอเปลี่ยนเครื่องอีก 2 ชม.กับ 15 นาที


มีเรื่องโก๊ะเล็กๆที่ประตู 13 เนี่ย ก้อตอนแรกเดินมาเห็นป้ายประตูแล้วนะ แต่ว่าเขายังไม่เปิดแบบในรูปเนี่ย เราก้อคิดว่ายังไม่ถึงเวลานี่หว่า เด่วใกล้ๆคงเปิดเองแหละ ปรากฏว่านั่งรอไปจนเอะใจ เอ๊ะ ตึหนึ่งจะสิบนาทีแล้วนี่หว่า นึกขึ้นได้ เฮ้ย..เอาบอรดดิ้งมาดู มันต้องเช็คเข้าประตูตั้งแต่ตีหนึ่งนี่หว่า ทำไมประตูยังไม่เปิดฟระ? ฮ่า..โง๊เองค่า ประตูเขาอยู่อีกด้านข้างหลังค่า ดีนะ คิวยังยาวอยู่พอควร ไม่ต้องโดนเรียกประจาน เอิ๊กๆๆ
ได้เพื่อนเดินทางระหว่างนั่งรอ น่ารักน่าชังสุดๆ เป็นลูกแขกขาวแถวนั้นแหละ แต่เทอเป็นขวัญใจของพี่ป้าน้าอาแถวนั่งรอมั่กๆ แล้วก้อชอบเดินมามองหน้าเราด้วย เรยจับถ่ายรูปเสียเรย


นี่เพื่อนเดินทางตัวจริง เล่มที่เล่าไปเมื่อคราวที่แล้ว ยังอ่านไม่จบเรย เห็นหน้าปกก้อสวยถูกใจแร้วล่ะสิ

เอ้า..เจอแร้ว เจ้าของบ้านขาใหญ่ คุณแกรี่นี่เอง ทักทายเหมือนเป็นเพื่อนเก่ากันมานาน แป้งบอกแปลกมาก ปกติไม่ยอมเข้าใกล้คนแปลกหน้า แต่นี่ยอมให้อุ้มตั้งแต่แรกเจอ สงสัยเป็นเนื้อคู่กับแมว เอิ๊กๆๆ

เสียดายมากๆ คืนแรกที่มาถึงเพื่อนพาไปเที่ยวงานเทศกาลฤดูหนาวของเมืองใกล้ๆ ซึ่งจัดเป็นวันสุดท้ายพอดี ไปกันหมดเรยนะทั้งครอบครัว พ่อ แม่ นิโค แป้ง และเรา โห..ตื่นตาตื่นใจ ชอบอ่ะ! ทั้งๆที่ง่วงแสนง่วงเพราะลงจากเครื่องมาต่อรถไฟถึงบ้าน ยังไม่ได้นอนพักเรยสักงีบ แถมมาถึงเพื่อนก้อชวนคุยๆๆๆๆไม่หยุดปาก ความจริงฟังมันมากกว่า ฮ่าๆ คงอยากเม้าท์ภาษาไทยน่ะ เพราะอยู่ที่นี่คุณเทอพ่นแต่ดอยซ์ เอ้า..ลืมไปเรยจะเล่างานเทศกาลฤดูหนาว ก้อเป็นงานแบบออกร้านบ้านเราอ่ะ แต่ว่าจุดเด่นจะอยู่ที่คนออกร้านเขาจะแต่งตัวแบบโบราณๆ จัดร้าน รวมทั้งสินค้าและของที่เอามาโชว์ ทุกอย่างทำเหมือนเราย้อนยุคกลับไปเมื่อ 400-500 ปีที่แล้ว เดินๆแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังพวกนักรบโบราณของฝรั่งยังไงยังงั้นเรยอ่ะ!!

ที่งานเขามีอาหารและเครื่องดื่มแบบโบราณๆเมืองหนาวขายด้วย ลองชิมไวน์ต้มหวานๆไปเกือบครึ่งแก้ว(แก้วต้มดินเผานะ) อยากกินเยอะๆ แต่กลัวผลอยเสียตั้งแต่ตอนเดินๆ เลยต้องหันไปกินใส้กรอกย่างกับขาหมูมันเผา อร่อยมากกกก...

นอนพักเอาแรงสุดๆคืนนั้น ปิดโทรศัพท์เงียบเชียบหมดทุกอย่าง แต่พอเปิดก้อมีเรื่องด่วนขอให้เช็คเมลทันใด เห่อ..ให้มันได้อย่างงี้!!!


พอได้อาหารเช้ากันเรียบร้อย เพื่อนทั้งสองก้อพาเราไปเดินชอปปิ้งก่อนอื่นใด เริ่มตั้งแต่อาหารที่ต้องเตรียมตุนไว้สำหรับช่วงเทศกาลคริสมาสต์เพราะจะไม่มีคนขายให้ช่วงนั้น เป็นห้างใหญ่ที่สุดของเมืองสตุทการ์ทแต่เทียบได้ประมาณโรบินสันบ้านเรา คุณขรา..ไม่มีบ้านเมืองไหนเขามีห้างขายของใหญ่มโหระทึกเท่าเมืองไทยอีกแล้วล่ะค่ะ แต่เห็นของในห้างแล้วอยากซื้อไปหมด ราคาถูกมากกกเทียบได้ประมาณ 1 ใน 4 ของราคาที่ขายในเมืองไทย โดยเฉพาะพวกอาหาร ยา ขนมต่างๆ แต่แป้งบอกของเราอ่ะ ไว้วันหลังใกล้ๆกลับค่อยมาซื้อก้อด้าย ไม่ต้องรีบร้อน

จากห้างนี้ยังไม่จบนะ ไปเดินร้านอาหารเอเซียต่อ ต้องการมะละกอเพื่อมาทำส้มตำกินกัน แถมด้วยซุปหน่อไม้เพราะเพื่อนอยากกินน้ำลายไหล ยังไม่เสร็จ ไปต่อกันที่ร้านขายวัสดุตกแต่งบ้าน สร้างบ้าน เพราะคุณเพื่อนจะทำห้องน้ำใหม่กัน เลยแวะเข้าไปเลือกกระเบื้อง แต่เลือกอยู่ตั้งนาน สุดท้ายเปลี่ยนใจ ยังไม่สั่งดีกว่า อ้าว...

เริ่มหิวแล้วสิ แต่ก้อยังไม่หมดภารกิจ แวะไปที่ทำงานนิโคอีกหน่อย มีธุระต้องไปจัดการ เราเลยได้ภาพต้นไม้ต้นนี้ รวมถึงใบสีส้มๆของมันที่ร่วงหล่นลงมาตามทางเดิน เห็นแล้วรู้สึกถึงบรรยากาศเมืองหนาวจริงๆเรยเนอะ นี่แหละ โลกอีกซีกหนึ่งซึ่งเราคนเมืองร้อนไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่


ปิดท้ายด้วยการนั่งหลับ เอ้ย..ไม่ช่าย พอมองกล้องแบบนี้ทีไร ทำไมเหมือนหลับตาทุกทีสิ ในระหว่างนั่งรอนิโคแหละ เราก้อออกมาแชะๆๆซะหน่อย ให้แป้งมันนั่งอุ่นๆในรถต่อไป แต่ตั้งแต่มาถึงอุณหภูมิสูงขึ้นทุกวันๆสิน่า สงสัยมากับความร้อนแน่ๆช้าน รออยู่เนี่ย จะเจอหิมะม้าย??? เอิ๊กๆๆ แต่ขอโทษ .. สรุปว่า อิช้านลืมเสื้อโค้ตตัวยาวที่ซื้อมาใหม่ ตั้งใจจะเอามาใส่ลุยหิมะที่นี่เต็มๆไว้บนเตียงนอนที่บ้านค่า เห่อ..เวงจิงๆตรู ต้องขอยืมเพื่อนอีกแย้ว

วันนี้แป้งต้องไปทำงาน ลาไม่ได้จริงๆ เพื่อนจึงให้ยืมสามีควง นิโคจะพาไปเที่ยวชมพิพิธภัณเบนซ์ที่แรกและที่ใหญ่ที่สุดในโลก อ้อ..ขอบอกว่าเมืองสตุทร์การ์ทเนี่ยเขามีชื่อเล่นๆว่า เมืองเบนซ์นะคะ เพราะพื้นที่เกือบครึ่งค่อนเมืองเป็นโรงงานและบริษัทเบนซ์หมดค่า รวมถึงประชากรที่นี่ค่อนเมืองก็เป็นพนักงานเบนซ์(เพื่อนนิโคของอิช้านด้วยแม่น)

ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเช้า เลยมีเวลาเช็คเมลทำโน่นนี่ เด่วอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวกลางวันเสร็จก็จะออกไปกันแระ กะเวลาให้พอดีกับตอนเย็นเลยไปรับแป้งเรย

หูย..เหมือนอยู่บ้านตัวเองเรยอ่ะ สบายจริงๆเรา...ฮ่า...

วันศุกร์ที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

วิ่งวุ่นแจกของขวัญ

ปีใหม่มาถึงอีกปีแว้ววววว....
ไม่น่าเชื่อ ไวเหมือนโกหก ปีที่แล้วเรายังเซ็งๆ งงๆ กับชีวิตอยู่เรย และพอผ่านช่วงปีใหม่มา ก็ดูเหมือนว่าชีวิตจะลงตัว ตกลงใจที่จะร่วมเดินทางไปกับคนๆหนึ่งซึ่งมีปัญหาคาราคาซังกันมานานพอสมควร แต่พอมาถึงเดือนสุดท้ายของปี เรากลับต้องต้อนรับปีใหม่ด้วยตัวคนเดียวอีกครั้ง อ่า...ช่างมันเหอะเนอะ ผ่านเลยไป..
และเนื่องจากเราเป็นคนอยู่กับที่ไม่ค่อยติด เมื่อชีวิตมีโอกาสเข้ามาให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวแล้ว ไฉนเลยจะนอนนิ่งๆอยู่กับบ้าน จึงจัดแจงเตรียมตัวออกเดินทางไกลอีกครั้งช่วงปีใหม่นี้ และที่สำคัญก่อนหยุดงานยาวนาน จะเป็นอื่นไปเสียมิได้ นอกจากเรื่องงานที่จะต้องสะสาง เคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย ยิ่งช่วงปีใหม่ยิ่งหนีไม่พ้นการแจกของขวัญ ปิดยอด สรุปตัวเลข เคลียร์งานของทุกคนที่ออฟฟิส
ทำได้เกือบทั้งหมดแล้วล่ะ โห..ไม่น่าเชื่อเนอะ ตั้งแต่วางแผนมาตอนต้นเดือน ตอนนี้ทำเสร็จจะหมดแระ

ปีนี้เราทำของขวัญแจกลูกค้าเอง ไอเดียเกิดขณะที่คิดว่าไม่รู้จะเอาผ้าเก่าๆรวมทั้งตัวอย่างผ้าที่มีอยู่เยอะแยะไปไว้ที่ไหนดี? แต่แหม...จะทิ้งก็ไม่ได้นะคระ ของเขาแพงหูฉี่ เอาไงดี แทนที่จะไปสั่งเค้ก ปอนด์ละเป็นพันมาแจก เดินซื้อของขวัญจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ถูกใจลูกค้าบ้าง ไม่ถูกใจก็มี เลยจับผ้าสวยๆเหล่านี้ที่มีอยู่มาทำเป็นหมอนอิง แจกลูกค้าซะเลย ลงทุนค่าใส้หมอนใบละ 75 บาท + ค่าจ้างเย็บใบละ 30 บาท เท่านั้นเอง!! (แต่ยังไม่คิดราคาผ้านะ เพราะถือเป็นของที่มีอยู่แล้ว)
และด้วยเวลาที่มีอันจำกัด บวกกับงบประมาณที่ไม่สามารถพอกพูนได้ จึงได้ไอเดียเย็บซองใส่นามบัตรด้านหลังหมอน แทนการไปสั่งทอลาเบลโลโก้บริษัทซึ่งต้องสั่งทีละเป็นพันๆโน่น เราทำแค่ 125 ใบเอ๊ง จะไปเสียเงิน เสียเวลาทำไมให้สิ้นเปลือง ให้ช่างเย็บเขาเย็บเป็นกระเป๋าเพิ่มไปให้แค่นั้น ใส่นามบัตรคนให้ได้สบาย ลูกค้าได้แล้ว จะเอาออกหรือเก็บนามบัตรไว้ติดต่อก็ได้ ไม่เสียหาย อิอิ

ตอนไปซื้อใส้หมอนที่อินเด็กซ์นะ ต้องไปถึงสองที่กว่าจะได้ ไอ้เราก็ชะล่าใจ เคยไปถามที่มาบุญครองแล้วเขาบอกว่ามีๆๆๆ ก็เลยคิดว่าสาขาอื่นที่ใหญ่ๆก็ต้องมีล่ะวะ ไหนได้ ต้องกลับไปเอาที่มาบุญครองอยู่ดี และต้องเป็นรถกระบะของบริษัทนะ ถึงจะขนกลับมาได้ ก็แหม..124 ใบ อีกหนึ่งใบซื้อเอาไปวัดตัวอย่างตั้งแต่แรกแล้ว นั่นยังเต็มแน่นกระบะหลังเลยอ่ะ สรุปแล้วใช้เวลาทำจริงๆ ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ เริ่มตั้งแต่หาร้านเย็บ เลือกผ้าหนึ่งวัน และเย็บทั้งหมดอีกสองวันเสาร์อาทิตย์ ได้หมอนเช้าวันจันทร์ อิช้านวิ่งแจกลูกค้าตั้งแต่วันอังคารจนถึงวันศุกร์ เหลืออีกนิดหน่อยค่อยให้พนักงานหนีบไปส่งอาทิตย์หน้า ฮ่า..แต่ทุกคนเห็นแล้วต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สวยมากกกกก ชอบๆๆๆๆๆๆๆ (ปลื้ม..อิอิ)

อีกสิ่งหนึ่งซึ่งจะขาดเสียมิได้ เป็นธรรมเนียมของบริษัทว่าเราจะต้องทำการ์ดอวยพรปีใหม่เอง เนื่องจากว่าเราขายผ้า ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำคือเอาผ้ามาตกแต่งการ์ดให้ได้ออกมาสวยงาม ปีนี้ฝ่ายการตลาดเราแถมคอนเซ็ปท์เรื่อง Love ของนักออกแบบชื่อดังคนหนึ่งไว้ด้วย ให้มันดูดีนิสนุง ข้างในก็เป็นลายเซ็นต์ของผู้บริหารและพนักงาน มองดีๆจะเห็นว่ามีหลายภาษา อย่าตกใจ บริษัทเขาอินเตอร์อีกล่ะ คิคิ

มองไม่เห็นอ่ะเดะ ว่าผ้าเราอยู่ตรงไหน นั่นไง พื้นหลังสีขาวๆนั่นแหละ เป็นผ้ารีไซเคิลด้วยนะจ๊ะ เรารักษ์โลกเต็มรูปแบบจ้า

ทุกอย่างเสร็จสรรพลงตัวเอาวันนี้แหละ การ์ดทุกใบส่งออกไปพร้อมกันวันนี้ มีเพียงบางส่วนที่เราถือเอาไปแจกให้ด้วยมือเองแล้วบ้าง คาดว่าจะถืงมือลูกค้าแต่ละรายไม่เกินวันจันทร์ เพราะปีนี้ส่งแต่ในเมืองไทย(ตัดงบอ่ะ...)

ดีใจจัง ปลอดโปร่งโล่งสบายมั่กๆ วันนี้ตารางทำความสะอาดประจำปีของบริษัท ไม่ใช่ทำความสะอาดปีละครั้งเดียวนะ หมายถึงภายนอกและการตกแต่งอะไรต่างๆด้วย เสร็จแล้วเย็นๆ ก็จะแวะไปทำหน้า เสริมความงามเสียหน่อย เพื่อความไฉไลต่อผู้พบเห็นในระหว่างเดินทาง

ไปแล้ววววว...กลับมาอีกทีปีหน้าเลยนะจ๊ะ ..จุ๊บๆๆๆๆ

(อ้อ..แต่ถ้ามีเวลาอาจจะแย่งคอมเพื่อนแป้ง เอามาอัพเรื่องราวให้อ่านกันเป็นระยะๆจ้า)

วันเสาร์ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ผิดมั๊ย?

ลองนั่งคิดย้อนไปย้อนมาหลายครั้ง หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่า

ความจริงเรามีเพื่อนมากมายในอดึต แต่นั่นมันเป็นอดึตไปแล้วจริงๆ เพราะในวันนี้เราเหลือเพื่อนที่ยังคงความเป็นเพื่อนกันอยู่นั้นน้อยมาก นับได้จริงๆไม่เกิน 4 คน แต่เพื่อนคนนี้รู้จักคบหากันมาตั้งแต่เด็กๆวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ เราถึงขนาดนับถือเหมือนเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกันเลย เพราะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี อยู่ด้วยกันมาก็ตั้งนาน จนโตเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัว แล้วก็แยกกันไป

แต่อยู่มาวันหนึ่ง ความจริงบางอย่างก็เกิดขึ้น เราไม่เหลือเพื่อนเก่าๆแบบนั้นอีกแล้ว เพราะพวกเขาไม่อยากยุ่งกับเรา ไม่อยากลำบากเพราะเรา แค่นั้นเอง

ก็เข้าใจและยอมรับ ไม่ได้โทษใครหรือโชคชะตา แต่ถ้ามันเป็นการตัดสินใจของใคร ก็สุดแล้วแต่เจ้าของจิตใจเขาจะทำ เราไปห้ามใครไม่ได้ ดังนั้น เราก็อยู่ของเราแบบโดดเดี่ยวต่อมา

แต่อยู่มาวันนี้ เพื่อนมีเรื่องเดือดร้อน ครอบครัว แฟนมีผู้หญิงใหม่ เป็นหนี้เป็นสิน ทำมาหากินไม่ได้ เจ็บป่วยต้องเข้ารพ.ใช้เงินมากมาย สารพัดปัญหาที่เพื่อนนำมาเล่าให้ฟัง ซึ่งเล่าไปพร้อมด้วยเสียงสะอึกสะอื้นร่ำไห้

สงสารและเห็นใจนะ เพราะถ้าเป็นเราก็คงเศร้าไม่ต่างจากเขาเลย แต่สิ่งที่ทำได้ก่อนอื่น คือให้กำลังใจและแนะแนวทางการดำเนินชีวิตต่อให้ได้ แต่ดูเหมือนจุดประสงค์ของเพื่อนจะไม่ใช่เพียงแค่ระบายและต้องการกำลังใจบวกคำแนะนำ หรือแทบไม่ค่อยอยากฟังด้วยซ้ำ สิ่งที่เพือนต้องการจริงๆ คือ บอกว่าจะรบกวนยืมเงินจากเราไปใช้หนี้ ซึ่งเป็นเงินจำนวนเยอะพอควร

ถ้าเรามีเงินเหลือเฟือ เราก็คงไม่คิดมากเพราะเชื่อว่าเขาเดือดร้อนจริงๆ แต่นี่เราเองก็ไม่ได้มีเงินเหลือเฟือแบบนั้น ซ้ำยังมีหนี้ที่ต้องชดใช้อยู่ด้วย เราจึงต้องกลับมาคิดหนักอีกครั้ง

ว่า..จะผิดมั๊ย? ถ้าเราจะเอาเงินนี้ไปใช้หนี้ก่อน แล้วค่อยเจรจากับเจ้าหนี้เราซึ่งก็เป็นเพื่อนในกลุ่มนี้เหมือนกันให้ช่วยแบ่งปันเงินบางส่วนไปให้เท่าที่พอจะทำได้

ที่เราคิดแล้วคิดอีก เพราะเราลองย้อนสมมุติว่า ถ้าเราไม่เคยโดนเขาทำร้ายมาก่อนในอดึตแบบที่ผ่านมา เราจะเอาเงินให้เขาไปเลยหรือป่าว? คำตอบสุดท้ายก็คือ คงไม่ให้ง่ายๆแบบนั้น แล้วถ้าอย่างนั้น อดึตเลวร้ายที่เขาเคยทำกับเรายังจะมีผลต่อการตัดสินใจนี้อยู่หรือ?

ไม่ใช่แล้วล่ะ..

วันพุธที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

สิ่งรอบกายวันนี้

ชีวิตวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากจนเกินรับไหว เพราะมากกว่านี้ก็เคยต้องทนและผ่านมาแล้ว

เวลาแต่ละวันที่ผ่านไป หมดไปกับการทำงานซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นเรื่องเดียวที่เป็นเหมือนชีวิตที่แท้จริงของเรา สิ่งอื่นๆจึงดูเหมือนจะเป็นองค์ประกอบไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง กิน เที่ยว อยู่ หรือ อะไรต่อมิอะไร

เมื่อต้องกลับมาใช้ชีวิตตามลำพังอย่างแท้จริงอีกครั้ง เราจึงต้องเพิ่มความรู้สึกที่จะทำให้เราอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปขึ้นอีกหน่อย เช่น การไปดูหนังที่ชอบ เรื่อง Twilight แล้วได้ซึมซับเอาเสน่ห์ของแวมไพร์ตัวจริงกลับมาด้วย(อิอิ Robert Pattinson) อ่านหนังสือที่น่าสนใจและให้ความรู้สึกดีๆ เช่นเรื่องที่เรากำลังอ่านอยู่ตอนนี้ ๐พิชิตฝัน๐ หรือ Lionheart ที่เขียนโดยนักเดินเรือหนุ่มนาม Jesse Martin เขาเป็นคนที่ทำสถิติการเดินทางด้วยเรือใบรอบโลกเพียงลำพังโดยไม่มีการช่วยเหลือใดๆ ด้วยวัยเพียง 17 ปี เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในโลก เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขาทำได้และเขียนมันออกมาเป็นหนังสือเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนอีกมากมายบนโลกใบนี้ที่ยังไม่รู้สึกตัวว่า ควรจะอยู่เพื่ออะไร? (เช่นเราหรือป่าว?)

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งจะทำให้ชีวิตเราโดดเดี่ยวอย่างสมบูรณ์แบบ คือ การเดินทางคนเดียว แต่อาจจะยอมรับการช่วยเหลือจากคนรอบข้างนะ (ไม่เก่งอย่างเจสซี่หรอก) หลายครั้งที่ผ่านมา เมื่อเรารู้สึกว่าชีวิตมันไร้ค่า น่าเบื่อ เราจะออกเดินทางเพื่อหาความหมายของชีวิตเพิ่ม และเกือบทุกครั้งเราได้มันกลับมาด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าความหมายนั้นจะดีหรือไม่ดียังไงก็ตาม แต่ทุกอย่างมันมีความหมายกับชีวิตเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปทั่วประเทศไทยคนเดียว ค้นหาสถานที่ที่ไม่เคยไป แล้วก็ไปเอง และการเดินทางครั้งสำคัญที่เราไปใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นสิ่งที่เราได้กลับมาคือความอดทนและความหมายของการมีชีวิตอยู่จริงๆ

เมื่อชีวิตกลับคืนสู่สังคมเดิมๆ การดำเนินรอยทางจึงเริ่มเหมือนคนอื่นๆอยู่พักใหญ่ๆ แต่มันก็เป็นอยู่แบบนั้นได้ไม่นาน วันนี้เราจึงกลับมาสู่สภาพเดิมอีกครั้ง และเริ่มต้นการเดินทางคนเดียวจริงๆ อีกที...

สิ่งหนึ่งที่ดีที่สุด ที่เราถือว่าเป็นโชค คือการที่เรายังมีเพื่อนที่ดีที่สุด เพื่อนที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ เกื้อกูล และไม่ทิ้งกันยามยาก ถึงแม้เพื่อนจะไม่ได้อยู่ใกล้เราเลยซักคน แต่ดีเสียอีกที่ทำให้เราได้รู้ว่า เรายังมีที่หมายให้ไปในวันข้างหน้า

การเดินทางครั้งใหม่ของเรา จึงจะเริ่มต้นในอีก 10 วันข้างหน้านี้ ไปหาเพื่อนแป้งและนิโค ที่เยอรมัน..

วันศุกร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

วันสุดท้ายที่ปาย

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงวันสุดท้ายในจังหวัดแม่ฮ่องสอน

จากที่เมื่อคืนเราพักค้างแรมกันที่ปางอุ๋ง โดยแยกเป็นสองกลุ่ม หนุ่มๆ 4 คนไปนอนกางเต้นท์กัน พวกเรา 4 สาวครึ่งกับอีก 1 หนุ่มครึ่ง(อิอิ) ก็นอนกันในบ้านโฮมเตย์ของลุงสร้อยเงิน ซึ่งเป็นบ้านเพิ่งสร้างเสร็จใหม่เอี่ยม รอพวกเราไปเปิดซิงกันวันเนี้ยแหละ

พอตื่นมาตอนเช้า หลังจากอาบน้ำอย่างสดชื่นเย็นฉ่ำ และสะดวกสบายมั่กๆเพราะอยู่ในห้องเรย เรากับปลายก็ออกไปเดินเล่นเป็นกลุ่มสุดท้ายของบ้าน คนอื่นเขาไปกันตั้งแต่ไก่โห่ เอ่อ..แต่ไก่ที่นี่โห่เช้ามากนะ ยังไม่ตีห้าเรยค่ะ เพราะว่าพวกเขาจะไปดูหมอก ถ่ายรูปหมอกกัน เราเหมือนเดิม ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ เคยดูมาแระ


ถ่ายรูปกันจนฉ่ำปอด ซึ่งตอนเราออกไปคนก็ยังเยอะอยู่นะ เพราะเพิ่ง 7 โมงกว่าเอง อากาศยังดีอยู่มาก เดินกินมันเผาเอร็ดอร่อยตุนไว้ก่อน เสร็จแล้วก็กลับมาทำอาหารเลี้ยงหมู่คณะกันที่บ้าน โดยเช้านี้เมนูเด็ดก็ยังหนีไม่พ้น ไข่เจียวทรงเครื่อง ขายดีจนต้องทำเพิ่มเป็นสองจานใหญ่ยักษ์ แต่ก็ยังไม่พอ ฉะนั้น มีไข่เหลือเท่าไหร่ ตอกเทใส่ให้เกลี้ยง มื้อนี้ไม่เหลือเก็บอะไรกลับไปอีกแล้ว หนักรถ ของที่เหลือจริงๆ เราก็บริจาคให้บ้านลุงสร้อยเงินไป รถค่อยเบาโล่งขึ้นหน่อย

พอออกจากปางอุ๋งกัน เกือบ 11 โมงแน่ะ จึงได้แวะไปตำหนักปางตอง ที่นี่เขามีดีที่แกะ ม้า และ กวาง อีกทั้งสัตว์ป่าธรรมชาติที่ไม่ดุร้าย สามารถดูได้ใกล้ๆ อย่างแกะก็มีให้กอดถ่ายรูปได้ด้วย จนเกือบแกะไม่ออกแน่ะ โหะๆๆ


เดินไปเดินมา เจอบ้านนี้ เออ..เก๋เนอะ เลยได้สโลว์แกน ๐ผู้ใหญ่ไม่เลี้ยงแกะ๐ กลับมาฝาก เกือบได้ชอปในนี้อีกแระ หลังจากที่เมื่อเช้าอุดหนุนร้านเด็กน้อยในปางอุ๋งมาโข แต่ว่าที่นี่เขาไฮโซไปนิส ผ้าพันคอขนแกะแท้ๆ ผืนละเกือบสองพัน เรยซื้อไม่ลงอ่ะค่ะ แบบว่า..ไม่ต้องขนแกะก็ด้ายนะ


ออกจากปางตอง เราก็นั่งสัปหงกกันต่อ เพราะถ้าขืนลืมตาอาจมีอ้วกได้ เช่น ตี๋ ชายหนุ่มร่างอวบเล็กน้อย สารภาพว่าเกือบเอาตัวไม่รอด กว่าจะมาถึงจุดหยุดพัก กิ่วลม ที่นี่ เพราะสภาพหนทางที่เราฟันฝ่ากันขึ้นมา มันช่างวกวนจนเวียนหัวเอาตัวเกือบไม่รอด แต่บนกิ่วลมเนี่ย สูงนะ ลมพัดปลิวสไหว วิว วิ่ว คนพักกันเยอะ มีร้านกาแฟในนั่งจิบด้วย ร้านขายของก็มีให้ชอปปิ้งมากมายหลายร้าน เกือบเสียเงินอีกล่ะ แต่ยั้งใจไว้ได้ทัน เพราะรถจะรีบออก ตอนนี้ต้องทำเวลากันหน่อย ยังมีอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไป


พอดีเหลือบไปเห็น เอ๊..ตัวอาราย? สีแดงกะสีฟ้าๆ เป็นจุดเล็กๆบนภูเขาลูกใกล้ๆ อ้าว..พอซูมเข้าไปใกล้ๆ ลูกใครหว่า? ช่างกล้าดีแท้ ปีนเขามือเท้าเปล่าๆกันขึ้นไปตั้งครึ่งค่อนลูก โอ้ว..แม่จ้าว ไม่ใช่เตี้ยๆเรยนะนั่น แต่ก็แปลกดีเนอะ เรยได้รูปกลับมาไว้ดู

จากนั้นก็นั่งดูหนังกันต่อในรถ บนทางวกวน (ที่ทำให้คนขับเองแทบอ้วก) อ้อ..อีกอย่าง คนขับ(เสม)น่ะ เดินอีท่าไหนไม่รู้ ทำให้ตัวอะไรมากัดที่ตา แดงเทือก เกือบขับรถไม่ได้แน่ะ เลียนแบบเรา เพราะเมื่อคืนเราก็โดนยุงกัดที่ตาข้างซ้าย บวมเป่งมาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเที่ยงยังไม่ยุบเรย ต้องใส่แว่นดำอำพรางมาตลอด คนนึกว่าอยากเท่ห์ โห่..
ก่อนจะถึงตัวเมืองปาย เราก็ต้องไม่พลาดร้านกาแฟอันเลื่องชื่อของที่นี่ ๐กาแฟตกหลุมรัก๐ ร้านนี้นั่นเอง มีหลักกิโลเมตรอันใหญ่โต ใครไปไม่ถูกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแระ ตอนแรกอยากกินกาแฟ แต่นะห์บอกว่าห่วยแตกมาก อย่านั่งกินเรย ไปกินในปายดีกว่าตั้งเยอะ เออ..เชื่อ งั้นแวะเข้าห้องน้ำฟรีๆ ถ่ายรูปมุมเก๋ๆของร้านอย่างเดียวก็พอเนอะ อย่าไปเสียตังค์ให้เขากันเรย เอิ๊กๆๆ
เนี่ย..อีกมุมนึง ตู้จม.ยังสวยเรยอ่ะ ได้สโลว์แกนมาอีกแระ "อย่าลืมส่งจดหมายมาน้า" แต่ชอบที่สุดก็ท้องฟ้าที่นี่ สดใสสวยงามจริงๆ ถ่ายรูปออกมาแล้ว เหมือนอยู่ในสวิสส..ซะงั้น(ได้ยินคนข้างๆเขาว่ามา)

นี่มุมเน้นๆด้านหน้าร้านเรย ชื่อเขาใหญ่โตมาก นักการตลาดเขาวางคอนเซ็ปท์ได้เก่งเนอะ ทำให้ชื่อติดไว้ก่อน กาแฟไม่อร่อยไม่เป็นไร อ้าว..แล้วนั่นแขนไผฟระ? อุตส่าห์จะเอามุมเน้นๆแล้วเชียว งึ่มๆ
พอมาถึงตอนนี้ก็เริ่มหิวตาลายอีกแล้วคับทั่น เรียกร้องจะหาของกินก่อน นะห์บอกทนอีกนิด เด่วพาไปกินของอร่อยในปาย พอเข้าเมืองปายมาได้ เราก็นึกว่าจะลงนั่งแล้ว ไหนได้ อ๋ออ..พาไปกินขาหมูหมั่นโถวร้านหมู่บ้านจีนยูนาน ตอนแรกนึกไม่ออก คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยไปหรือป่าว พอไปถึงจริงๆ ความทรงจำต่างๆกลับคืนมาทันใด แฮ่ม..เคยมาตั้งแต่เมื่อปี 2000 โน่นนน..ตอนนั้นที่นี่ยังไม่มีอะไรเร้ย เหมือนไม่ใช่เมืองไทยจริงๆนั่นแหละ แต่ร้านนี้ยังอยู่เหมือนเดิม แถมเจริญก้าวหน้า ทำรีสอร์ทใหญ่โตด้านหลัง มีกิจกรรมขี่ม้าเล่นให้แขกๆได้สนุกกันอีก และปายวันนี้ก็พัฒนาไปเร็วจนเกือบตามไม่ทันจริงๆ
ว่าแต่ตอนนั้น เราก็ไปกับรถตู้และเพื่อนๆเต็มคันรถแบบนี้แหละ ผิดกันแค่ว่าตอนนั้น เพื่อนๆพวกนั้นเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่มาวันนี้ หายไปกันหมดแล้ว เหลือแต่เรากับเพื่อนใหม่ๆเท่านั้น
กินอิ่มหนำสำราญ ได้บ๊วยถุงเบ้อเริ่มกลับมากินเล่นแล้ว จึงไปต่อกันได้ที่สุดท้ายที่ตัวเมืองปาย พอรถจอดให้ลงไปเดินกันได้ ก็รู้ตัวทันทีว่าที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายแล้ว เพราะตอนนั้นปาเข้าไป 5 โมงกว่าเกือบ 6 โมงเย็น จ๊ากก..อย่างนี้ก็ถึงกรุงเทพเช้าแน่นอน แต่กระนั้นก็ขอเดินดูให้หนำใจก่อนล่ะ ว่าแล้วก็ออกเดินกวาดซื้อผ้าพันคอของฝากเขามาอีกหลายผืน โห..ที่นี่ของถูกกว่าบนปางอุ๋งตั้งเยอะ รู้งี้มาซื้อที่นี่ก็จบแระ
แล้วเลยเดินผ่านถนนในปายซึ่งดูๆไปคล้ายๆกับตรอกข้าวสารบ้านเรานั่น ไปจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำปาย ซึ่งเป็นสะพานไม้ไผ่สวยงามอย่างธรรมชาติ รีสอร์ทอีกฟากฝั่งก็แลดูดีนะ อยากไปนอนเล่นพักผ่อนซักสอง-สามวันจัง ถ้าไม่ติดว่าจะต้องนั่งกระอักกระอ่วนบนทางอันวกวนอีกนะ เราคงไปอีกเร็วๆนี้แหละ
และแล้วในระหว่างเดินๆอยู่ในปาย โทรศัพท์ก็ดังขึ้น โอ้ว..ขาดการติดต่อมาเป็นระยะเวลายาวนาน เนื่องจากทรูมูฟเดี้ยงสนิท วันนี้เลยได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากลอนดอน เพื่อนจุ๊บผู้น่ารักคนเดิมโทรมาเพราะเราโทรไปหาวันก่อนเรื่องจะไปลอนดอน ตกลงถามไถ่กับเพื่อนได้ความว่า เพื่อนยังยินดีปรีดาให้เราไปหาได้ แต่ต้องหลังปีใหม่เพราะตอนนี้จุ๊บเขามีแฟนแล้ว ต้องไปตีหนิทกับครอบครัวแฟนตอนคริสมาสต์ก่อน อันนี้ก็เข้าใจ ไอ่เราคนโดดเดี่ยว..ก็ต้องทำใจ เอาไงดีว้า? แต่ไงคงต้องกลับมาเช็คตั๋ว เช็คตารางเวลาให้ชัดเจนก่อนล่ะ ขอวีซ่าทันมั๊ย? เนี่ย..เรื่องสำคัญ

ปิดท้ายด้วยรูปหมู่ที่น้ำตกแม่สุรินทร์วันที่สอง เสียดายยังไม่ครบคณะเรา เพราะตากล้องหนุ่มๆเขาเดินไปถ่ายรูปกันไกลโพ้น เรียกไม่ทัน เรียงชื่อมา ถัดจากเจ๊คนริมซ้ายก็เป็น เจ พี่ก้อง ปลาย น้องพัท แล้วก็ ตี๋
สรุปแล้วหลังจากขึ้นรถกันเรียบร้อยที่ปาย เราก็ตรงแน่วกลับกรุงเทพกันเรย มีมาแวะกินข้าวกันที่กลางทางเล็กน้อยตอนสามทุ่มกว่า แต่ตอนนั้นยังมาไม่ถึงไหนเรยนะ เพราะกว่าจะมาถึงเชียงใหม่ก้อปาเข้าไปสองทุ่มแระ คนขับต้องเปลี่ยนกะกันสองคน เสมขอพักตอนมาถึงเชียงใหม่เนี่ยแหละ จากนั้นก็พี่ก้องยาวจนเกือบถึงกรุงเทพ กินข้าวเสร็จก็ถึงเวลานั่งสัปหงกกันต่อ หลับๆตื่นๆ มาถึงกรุงเทพลงรถกันที่หลังเซ็นทรัลลาดพร้าวตอนตีสี่ 45 โห..มาราธอนจริ๊งงง..ช้าน
กลับบ้านขอนอนซักงีบก่อนล่ะ ม่ายหวาย..แต่ก็ยังโดนโทรศัพท์โทรมาปลุกเป็นระยะอยู่ดี ลุกไปทำงานจริงๆก็ 10 โมงเช้าเพราะทนไม่ได้ เพื่อนที่มาเลย์มีการโทรมาถามนะ ว่าอยู่อิตาลี่หรอ? ดูมัน..กวน
ทริปนี้ก็ได้เพื่อนดีๆกลับมาหลายคนนะ บางทีถ้าเราเปิดโลกใหม่ๆให้กับตัวเอง เราก็จะเจออะไรใหม่ๆ คนใหม่ๆ ที่พร้อมจะให้มิตรภาพดีๆทดแทนกับสิ่งเก่าที่สูญเสียไปก็ได้ ใครจะรู้..เนอะ




วันจันทร์ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

วันที่สองสู่ปางอุ๋ง

ดอกบัวตองบานเบ่งแข่งกันเต็มยอดดอยเลยค่ะช่วงนี้
กลับมาสู่การเดินทางอันวกวนของคณะเราอีกครั้ง จากที่วันแรกเราหลับๆตื่นๆ หลายตลบมาก จนสุดท้ายมาตื่นจริงๆ (หลังจากตื่นลงไปเดินเล่นถ่ายรูปที่บ่อแก้วสวนสนแล้วรอบหนึ่งนะ) ที่หน้าวัดจอมแจ้ง ก่อนหน้าที่จะถึงวัดจอมแจ้งเล็กน้อย ก็ต้องตื่นเต็มที่แล้วล่ะ เพราะต้องตื่นไปเข้าห้องน้ำ แฮ่ะ..เตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ

บนดอยอูคอก็มีโชว์กะเชาด้วยเหมือนกัน เป็นรำชาวเขาของกลุ่มเด็กๆ น่ารักดี
ตรงข้ามกับวัดจอมแจ้ง ก็เป็นพระธาตุเจดีย์ประจำเมืองอันสวยงาม ทุกคนคว้ากล้องคู่มือและคู่ใจ พร้อมเพรียงกันลงไปถ่ายรูป เชื่อว่าทุกคนกดรูปนี้มาหมด 9 กล้องแน่นอน แต่ไอ้เราน่ะมันมือเด็กน้อย กล้องก็กระจอกจ้อยร่อย ถ่ายมาได้แค่นี้ก็บุญโขแระ สายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด ฮี่ๆ อ้อ..ลืมกล่าวถึงเพื่อนสมาชิกที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันหน่อย เด่วจะลืมชื่อกันไป เริ่มจากหัวหน้าคณะที่เข้ามาโพสชวนเรา คือพี่ก้อง มือโปรขาเที่ยวตัวจริงเสียงจริง นะห์แฟนพี่ก้องก็ไม่เป็นรองเรื่องเดียวกัน น้องเจ อบต.จว.บุรีรัมย์ ที่ผันตัวเองจากเชฟมือโปรที่ออสเตรเลียมาอยู่ที่บุรีรัมย์ได้ยังไง? ไม่รู้เหมือนกัน มากับเพื่อน ชื่อปลาย ท่าทางเงี๊ยบ เงียบ แต่อยู่ใกล้ๆก็สบายใจดีไปอีกแบบ

น้องโจ ตากล้องมืออาชีพหนุ่มวัย 26 ผู้มากับหน้าตาอันหล่อเหลา สไตล์การแต่งตัวเท่ห์จนสาวเหลียว เสียดาย รูปหน้าตาของแต่ละคนไม่ได้อยู่ในกล้องเรา ไม่งั้นจะเอามาโชว์ให้หมดเชียว โหะ โหะ ถัดมาเป็นตากล้องอีกคนที่ออกแนวไฮโซแต่มีแอบเซอร์ น้องตี๋ ท่าทางอยากผจญภัยเพราะที่บ้านเพิ่งจะปล่อยหรือป่าว? อันนี้ไม่แน่ใจ แล้วก็แถมด้วยตากล้องมืออาชีพอีกคน ชาญหรือชัย ก็ได้เพราะชื่อเขาทั้งสองชื่อแหละ ไม่น่าเชื่อโลกกลม คนนี้บ้านอยู่ละแวกเดียวกับบ้านเราเลย ตอนขากลับถึงได้รู้และเลยได้นั่งแท๊กซี่กลับมาคันเดียวกัน สุดท้ายเป็นสาวสวยที่สุดในกลุ่ม เพราะอายุน้องพัทเพิ่งจะ 24 เรียนจบหมาดๆ แต่น้องเขาติดจะมีโลกส่วนตัวเล็กน้อย เลยไม่ค่อยได้รับรู้ข้อมูลอะไรมากนัก




ต้นกาแฟในห้องนอน เพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละ น่ารักดีจัง ใบเขียวสดมั่กๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นของปลอม ลองไปจับดู เฮ้ย..จริงนี่หว่า อันนี้อยู่ที่บ้านโฮมเตย์ของลุงสร้อยเงิน ณ ปางอุ๋ง

มาเล่าถึงการเดินทางต่อ เมื่อตื่นมาจากเต้นท์ที่กางนอนอย่างสบายพอสมควร ซึ่งเรานอนกับพัท และพัทก็ตื่นมาเป็นระยะๆ สงสัยเรากรนรบกวนน้องเขาแน่ๆ ฮี่ๆ แต่ความจริงน้องเขาบอกว่า ตื่นมาเพราะนอนๆไปตัวเลื่อนไปเรื่อย เนื่องจากพื้นมันเอียงน่ะ อีกอย่าง น้องเขาตัวสูงมาก ตั้ง 174 ซม.แน่ะ ก็คงนอนในเต้นท์ลำบากนิดนุงแหละ ส่วนเรานอนนิ่งๆไม่ไหวติงอย่างเดียว อ้อ..ต้องเล่าถึงตอนกลางคืนเล็กน้อย ก่อนนอนก็เป็นธรรมเนียมที่จะต้องมีการทำอาหาร นั่งรับประทานร่วมกันเป็นหมู่คณะอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็ตบท้ายด้วยสุรามาลัย ต้องบอกว่าตอนทำอาหารสนุกกันมาก ตอนแรกนึกว่าจะเป็นภาระใครบางคนเพียงคนเดียว ไหนได้ มีทั้งเชฟมืออาชีพจากออสเตรเลีย นะห์ก็ทำเก่งสารพัด เราก็พร้อมเต็มที่ เรียกว่างานนี้ เลยได้อาหารจานเด็ดเพียบ พวกหนุ่มๆกินกันคนละ 3-4 ชาม ฮ่า .. ไม่ได้โม้ เพราะเราไม่ได้ทำคนเดียว

เจ้าไก่ข้างบ้านตัวป่วน ตอนเช้านะมันประสานเสียงเป็นวงดุริยางฏ์ทหารบกบวกทหารเรือและก็ทหารอากาศ โห..ออกมาไม่รู้เป็นเพลงอะไร เสียงดังม้ากกกกกก...

ตอนเช้าที่ดอยแม่อูคอ พวกตากล้องเขานัดแนะกันว่าตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วปีนไปถ่ายรูปหมอกบนดอยกัน ส่วนเราหรือ ฮี่ๆ ไม่สนหรอก พี่ดูมาเยอะแระ ปล่อยน้องๆเขาตื่นเต้นกันไป ตื่นมาก็รู้สึกอยากกินก่อนเลย ทำข้าวต้มก่อนอื่น เพราะอาจเสียเวลานานในการต้ม จากนั้นพออากาศเริ่มอุ่นๆ เลยได้ไปอาบน้ำธรรมชาติอย่างสดชื่นนนน .. สดชื่นมั่กๆ รู้งี้เมื่อคืนไม่อาบก็ดี หนาวจะตายชัก ตอนเช้าเลยได้สระผมด้วย สบายหัว สบายตัวไปเรย ออกจากดอยแม่อูคอกันก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมง จากนั้นก็นั่งรถวิบาก กินโค้งกันไปจนเราจะสำรัก บวกกับความหิวเพราะบ่ายกว่าแล้วยังไม่หลุดออกจากโค้ง 1,864 โค้งนั่นเลย เกือบแย่ แต่อั้นไว้ได้ มาถึงร้านส้มตำที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอนพอดี รอดตัวไป กินข้าวโก้เสร็จค่อยยังชั่วหน่อย เดินทางต่อได้ คราวนี้นั่งดูโน้ตเดี่ยว7 ซะเพลินเชียว เออ..เนอะ .. ลำปางหนาวมากกกกก ฮ่าๆ แต่ไม่โดนเท่ามุข "ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยอายุ 40 จะมีประสบการณ์กับเขาก็ปีหน้าล่ะค้าบบบ" กรั่กกกๆๆๆ
และแล้วเราก็บากบั่นฟันฝ่า จนไปถึงปางอุ๋งกันจนได้ กว่าจะไปถึงก็บ่ายโพ้นร่วมสี่โมงเย็นแล้ว จองบ้านพักไว้หนึ่งหลัง แต่หนุ่มๆเขาฟิต พอเดินไปดูที่กางเต้นท์ที่ปางอุ๋งเลยขอเอาเต้นท์ไปกางนอนกันที่นั่น 4 คน ตกลงเราเลยนอนบ้านกัน 6 คน ไม่ต้องจองบ้านเพิ่ม เอ้า..เบียดๆกันนอน ไม่เป็นไร อุ่นดี แต่ก็ไม่แย่อย่างที่คิดนะ ห้องน้ำเขาก็สะดวกสบาย เรานั่งทำกับข้าวกันที่หน้าบ้าน อาหารจานเด็ดๆเพียบอีกแล้ว วันนี้มีแกงเขียวหวานสูตรออสเตรเลียกับไทย โอ๊ย..แข่งกันสุดฤทธิ์ค่ะ ปรากฏผู้ชนะเป็นน้องโจ ที่ถึงแม้จะตัวผอมเพรียวสูงระหง แต่คุนเทอเล่นไป 4 จาน ค่ะ เอิ๊กๆๆ เอ่อ..แล้วเราก็ทำเอ๋ออีกอย่าง เพราะเราไม่อยากออกไปนั่งที่เต้นท์หนุ่มๆตอนกลางคืน เลยขอนอนอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านกับปลาย พอซักประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนดูแลเขาเดินมาถามว่า "พี่ปิดไฟมั๊ยคับ" เราก็ตอบว่า "ยังไม่ปิดค่ะ" สิ้นเสียงไม่เกิน 1 นาที ไฟดับป้าบ มืดตื๊อ ป่าว..ที่จริงเขาบอกว่า "พี่ปิดไฟน้าคับ" แฮ่ะๆ (ก้อแบบว่าเขาพูดม่ายชักอ่า)

เออ..ความจริงวันเนี้ย ก่อนจะมาถึงปางอุ๋ง เราไปแวะกันที่น้ำตกแม่สุรินทร์ก่อน เดินเอื่อยอ่อยถ่ายรูป แต่กล้องเราเดี้ยงไปตั้งแต่เช้า เลยต้องอาศัยกล้องนะห์ถ่าย ป่านนี้ก็ยังไม่ได้รูปเรย จึงยังไม่มีรูปมาใส่ไว้วันนี้ เด่วค่อยเอามาลงทีหลังแล้วกัน

รูปนี้ทำท่ากระโดดเหมือนมีความสุขกับชีวิตมากมาย ฮ่าๆ แต่ความจริงไม่รู้จะทำอะไรให้มันเกิดกับชีวิตดี เลยบ้าๆบอๆกับเขาไปหน่อย ก็รู้สึกดีนะ แป๊บๆ ...


เด่วมาเล่าต่อตอนต่อปาย...






.