การกระทำกับความรู้สึกนี่มันแยกกันยากนะ
ความจริงก็รู้มาตั้งนาน พยายามก็หลายครั้งที่จะให้มันไปด้วยกันได้อย่างดี แต่ก็ไม่ค่อยสำเร็จซะบ่อย นั่นเป็นเพราะ บอกตัวเองว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะเป็นได้ทุกอย่างดังที่ใจเราปรารถนา ต้องสุดแล้วแต่โชคชะตาถ้าในที่สุด พยายามยังไงก็ไม่เจอคำว่า สมหวัง
มันเกี่ยวยังไงกับหัวข้อเรื่องหรือ? ตั้งใจอ่านซักหน่อยก็พอทำใจให้เข้าถึงได้นะ มันหมายความว่า ถึงแม้ตอนนี้ร่างกายจะไม่ได้หยุดหย่อน ทำงานเกินเวลา ต้องคิดโน่นคิดนี่ วางแผนทำโน่นนี่ตลอด แบบนี้แล้ว มันก็น่าจะทำให้ความรู้สึกในใจเต็มแน่นไปด้วยความวุ่นวาย วุ่นวายด้วยเรื่องเหล่านี้ที่ว่ามา แต่การณ์กลับไม่ เพราะในใจมันกลับว่างเปล่า คือแบบว่าโล่ง โล่ง โหวงเหวง น่ะ เคยเป็นกันมั๊ย?
ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ง่ายๆเลย ก็เพราะความรู้สึกที่มันว่างนี้ ถูกแยกออกจากภาวะทางสังขาร ใจมันโล่ง ไม่ใช่เป็นเพราะความสบายใจ แต่เป็นใจที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครเลย ที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยว หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นที่รักที่ห่วงของชีวิตหนึ่งซึ่งพึงจะมี ในฐานะที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้แล้วทั้งที
น้อยคนนักจะเป็นได้แบบนี้ แต่บอกไว้เลยว่าอย่าเป็นแหละดีแล้ว เพราะมันไม่ได้ทำให้ชีวิตที่มีอยู่มีความสุขหรอก เราเองก็รู้ทางแก้แต่ยังไม่สามารถเดินทางไปสู่ทางแก้ได้ เพราะเงื่อนไขของชีวิตที่มีอยู่ตอนนี้ พูดไปพูดมา ก็ทำท่าเหมือนจะบ้า เพราะอาจไม่มีคนเข้าใจในภาษาด้วยซักคน แต่ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นการระบายกับตัวเองก็แล้วกัน อาจทำให้ความทุกข์ลดน้อยบ้าง
มันน่าเบื่อเนอะ ชีวิตของผู้หญิงคนนี้ ..
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
วันศุกร์ที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
เขากำลังจะแต่งงาน
และแล้วก็สิ้นสุด
จบสิ้นความหวังลมๆแล้งๆ ที่ว่า เราอาจจะได้กลับมาเจอกันอีกซักครั้งหนึ่ง
เพราะวันนี้ รู้ชัดแน่แท้แล้วว่า เขามีทางเดินที่มั่นคง เป็นทางที่อยู่ห่างไกลจากเรามากมาย และมันจะไม่มีวันเวียนมาบรรจบกันอีก ไม่ว่า จะเมื่อไหร่ ที่ไหน หรืออย่างไร
แต่ทั้งๆที่รู้ ก็ยังอดใจหายไม่ได้ ที่วันนี้ความจริงอีกสิ่งหนึ่งจากกาลเวลาที่ผ่านมาของเราทั้งสอง ได้ปรากฏขึ้น นั่นคือ มีเพียงเราฝ่ายเดียวที่เป็นเหมือนคนไร้สติ ไม่เคยละทิ้งจากอดีตมาได้ แต่สำหรับเขา ทุกสิ่งทุกอย่าง มันแค่เป็นเพียงลมพัดผ่านชั่ววูบ และเขาไม่เคยคิดที่จะหวนกลับย้อนมาเพื่ออะไรที่เรามีต่อกันทั้งสิ้น สำหรับเขา ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่เมื่อ 8 ปีที่แล้วแล้ว
น่าเศร้า น่าสมเพชตัวเอง แต่นี่ล่ะ ชีวิตเน่าๆของเรา จะเอาอะไรมากไปกว่านี้ ไม่มีหรอก
18 มีนาคม 2008 จะเป็นวันแต่งงานของเขา ว่าที่ภรรยาซึ่งเป็นคนใกล้ตัว เพราะอาศัยอยู่ที่เมืองซูริคด้วยกัน กำลังอุ้มท้องลูกคนแรกที่มีกำหนดจะออกมาลืมตาดูโลกในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้
ก็ยังดี ที่ในที่สุดเขาไม่ได้มีแฟนเป็นผู้หญิงไทย เพราะไม่อย่างนั้นเราคงเสียใจมากยิ่งกว่านี้ แค่การที่เขานอกใจเราไปคบผู้หญิงไทยมากหน้าหลายตาในช่วงนั้น เราก็ช็อคกับเหตุการณ์และทำใจไม่ได้กับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมานาน จนบัดนี้พวกผู้หญิงเหล่านั้น ก็นับวันจะยิ่งแพร่ขยายเผ่าพันธ์กันออกไปอย่างมากมายกว่าเดิมอีกมาก และเราก็ยังหลีกหนีความใจร้ายของคนเหล่านั้นไม่พ้น แต่นั่นแหละ เราคงต้องทนต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ล่ะ
เราฝากคำอวยพรให้ไปกับพ่อเขาแล้ว พร้อมกับยกแก้วดื่มอวยพรให้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อมาเขียนถึงเขาอีกครั้งที่นี่ ซึ่งแม้เขาจะไม่มีวันรู้ว่ามีข้อความเหล่านี้เกิดขึ้นบนโลก เราก็ยังอยากอวยพรให้เขาอีกครั้ง
จบสิ้นความหวังลมๆแล้งๆ ที่ว่า เราอาจจะได้กลับมาเจอกันอีกซักครั้งหนึ่ง
เพราะวันนี้ รู้ชัดแน่แท้แล้วว่า เขามีทางเดินที่มั่นคง เป็นทางที่อยู่ห่างไกลจากเรามากมาย และมันจะไม่มีวันเวียนมาบรรจบกันอีก ไม่ว่า จะเมื่อไหร่ ที่ไหน หรืออย่างไร
แต่ทั้งๆที่รู้ ก็ยังอดใจหายไม่ได้ ที่วันนี้ความจริงอีกสิ่งหนึ่งจากกาลเวลาที่ผ่านมาของเราทั้งสอง ได้ปรากฏขึ้น นั่นคือ มีเพียงเราฝ่ายเดียวที่เป็นเหมือนคนไร้สติ ไม่เคยละทิ้งจากอดีตมาได้ แต่สำหรับเขา ทุกสิ่งทุกอย่าง มันแค่เป็นเพียงลมพัดผ่านชั่ววูบ และเขาไม่เคยคิดที่จะหวนกลับย้อนมาเพื่ออะไรที่เรามีต่อกันทั้งสิ้น สำหรับเขา ทุกอย่างมันจบลงตั้งแต่เมื่อ 8 ปีที่แล้วแล้ว
น่าเศร้า น่าสมเพชตัวเอง แต่นี่ล่ะ ชีวิตเน่าๆของเรา จะเอาอะไรมากไปกว่านี้ ไม่มีหรอก
18 มีนาคม 2008 จะเป็นวันแต่งงานของเขา ว่าที่ภรรยาซึ่งเป็นคนใกล้ตัว เพราะอาศัยอยู่ที่เมืองซูริคด้วยกัน กำลังอุ้มท้องลูกคนแรกที่มีกำหนดจะออกมาลืมตาดูโลกในอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้
ก็ยังดี ที่ในที่สุดเขาไม่ได้มีแฟนเป็นผู้หญิงไทย เพราะไม่อย่างนั้นเราคงเสียใจมากยิ่งกว่านี้ แค่การที่เขานอกใจเราไปคบผู้หญิงไทยมากหน้าหลายตาในช่วงนั้น เราก็ช็อคกับเหตุการณ์และทำใจไม่ได้กับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมานาน จนบัดนี้พวกผู้หญิงเหล่านั้น ก็นับวันจะยิ่งแพร่ขยายเผ่าพันธ์กันออกไปอย่างมากมายกว่าเดิมอีกมาก และเราก็ยังหลีกหนีความใจร้ายของคนเหล่านั้นไม่พ้น แต่นั่นแหละ เราคงต้องทนต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ล่ะ
เราฝากคำอวยพรให้ไปกับพ่อเขาแล้ว พร้อมกับยกแก้วดื่มอวยพรให้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อมาเขียนถึงเขาอีกครั้งที่นี่ ซึ่งแม้เขาจะไม่มีวันรู้ว่ามีข้อความเหล่านี้เกิดขึ้นบนโลก เราก็ยังอยากอวยพรให้เขาอีกครั้ง
Congratulation & Hope you have a very beautiful life forever
To you 'Oliver Belin'
my only one love
......
วันจันทร์ที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
หน้าเนื้อ ใจเสือ
คำพังเพยเก่าแก่ของไทยเรา วันนี้หรือวันไหน ก็ยังเอามาใช้ได้อยู่เสมอไม่เสื่อมคลาย
"หน้าเนื้อ ใจเสือ" คำนี้แหละ เจอบ่อยมากในสังคมปัจจุบัน
ความหมายก็ ง่ายๆ ตรงๆ คือ ใบหน้า หรือการแสดงออกเนี่ย ฉาบไว้ด้วยสิ่งสวยงาม ดูน่าไว้วางใจเป็นที่สุด แต่ข้างในจิตใจ กลับกลายเป็นตรงกันข้าม เต็มไปด้วยพิษสง พร้อมที่จะกางกรงเล็บอันแหลมคมออกมาขย้ำเราได้ทุกเมื่อ
ที่เกริ่นมาทั้งหมด เพราะบางทีคนพวกนี้ก็รู้ตัวว่าเรารู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ แต่ทั้งๆที่รู้ๆด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่กลับทำหน้าตาย ไม่รู้ไม่ชี้ เจอหน้าเมื่อไร ก็ยิ้มหวาน จ๊ะจ๋า คะขา ทุกที แต่พอลับหลังทีไร ก็นินทาว่าร้าย ทำเราเสียๆหายๆได้ตลอดอีกเช่นกัน ดังนั้น เปล่าประโยชน์ที่จะไปเอ่ยชื่อ หรือพูดให้เข้าใจว่าเขาเป็นใคร แต่แค่อยากเอามาเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมแบบที่ว่า
โดยเฉพาะในสังคมของการทำงานสมัยนี้ ขอบอกว่า เชื่อใจใครในสถานที่ที่พบเจอกันในการทำงานได้ยากมาก ยากมั่กมาก จริงๆนะ(เน้นและย้ำ)
สิ่งที่เอามาพูด เพราะตอนนี้กำลังมีเรื่องต้องกังวลและอาจทำให้นอนไม่หลับ ขับไม่ออกอีกเป็นเดือน เนื่องจากว่า เรามีภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบทั้งหมดทุกอย่าง ของการดำเนินธุรกิจนี้
และสิ่งที่ทำให้เป็นกังวลที่สุด จะหนีเรื่องเงินๆทองๆไปมิได้เป็นอันขาด ธ่อ..พูดแล้วปวดมวนในท้องยังไงก็ไม่รุ
ก็จะอะไรซะอีกล่ะ ถ้าตอนนี้เช็คย้อนหลังไป แล้วเกิดเจออะไรไม่ชอบมาพากลที่คนอื่นทำไว้ แล้วเราต้องเข้าไปล้างเช็ดทำความสะอาดให้ล่ะก็ เรื่องใหญ่เชียวล่ะคุณขา..
เล่าแค่นี้ล่ะ แต่ความจริงมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมาย ขี้เกียจจะสาธยาย เด๊วจะเบื่อกันไปมากกว่านี้ เพราะแค่นี้ ก็ไม่ค่อยอยากจะเข้ามาอ่านกันแล้ว (บ่นอะไรอยู่ด้าย ป้าคนนี้) เอิ๊กๆๆ
000000000000000000000000000000000000000000000000
"หน้าเนื้อ ใจเสือ" คำนี้แหละ เจอบ่อยมากในสังคมปัจจุบัน
ความหมายก็ ง่ายๆ ตรงๆ คือ ใบหน้า หรือการแสดงออกเนี่ย ฉาบไว้ด้วยสิ่งสวยงาม ดูน่าไว้วางใจเป็นที่สุด แต่ข้างในจิตใจ กลับกลายเป็นตรงกันข้าม เต็มไปด้วยพิษสง พร้อมที่จะกางกรงเล็บอันแหลมคมออกมาขย้ำเราได้ทุกเมื่อ
ที่เกริ่นมาทั้งหมด เพราะบางทีคนพวกนี้ก็รู้ตัวว่าเรารู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ แต่ทั้งๆที่รู้ๆด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่กลับทำหน้าตาย ไม่รู้ไม่ชี้ เจอหน้าเมื่อไร ก็ยิ้มหวาน จ๊ะจ๋า คะขา ทุกที แต่พอลับหลังทีไร ก็นินทาว่าร้าย ทำเราเสียๆหายๆได้ตลอดอีกเช่นกัน ดังนั้น เปล่าประโยชน์ที่จะไปเอ่ยชื่อ หรือพูดให้เข้าใจว่าเขาเป็นใคร แต่แค่อยากเอามาเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมแบบที่ว่า
โดยเฉพาะในสังคมของการทำงานสมัยนี้ ขอบอกว่า เชื่อใจใครในสถานที่ที่พบเจอกันในการทำงานได้ยากมาก ยากมั่กมาก จริงๆนะ(เน้นและย้ำ)
สิ่งที่เอามาพูด เพราะตอนนี้กำลังมีเรื่องต้องกังวลและอาจทำให้นอนไม่หลับ ขับไม่ออกอีกเป็นเดือน เนื่องจากว่า เรามีภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบทั้งหมดทุกอย่าง ของการดำเนินธุรกิจนี้
และสิ่งที่ทำให้เป็นกังวลที่สุด จะหนีเรื่องเงินๆทองๆไปมิได้เป็นอันขาด ธ่อ..พูดแล้วปวดมวนในท้องยังไงก็ไม่รุ
ก็จะอะไรซะอีกล่ะ ถ้าตอนนี้เช็คย้อนหลังไป แล้วเกิดเจออะไรไม่ชอบมาพากลที่คนอื่นทำไว้ แล้วเราต้องเข้าไปล้างเช็ดทำความสะอาดให้ล่ะก็ เรื่องใหญ่เชียวล่ะคุณขา..
เล่าแค่นี้ล่ะ แต่ความจริงมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมาย ขี้เกียจจะสาธยาย เด๊วจะเบื่อกันไปมากกว่านี้ เพราะแค่นี้ ก็ไม่ค่อยอยากจะเข้ามาอ่านกันแล้ว (บ่นอะไรอยู่ด้าย ป้าคนนี้) เอิ๊กๆๆ
000000000000000000000000000000000000000000000000
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)