วันอาทิตย์ที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

KL cool day

มาแล้ว มาแล้น มีเวลามานั่งอัพไดตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานเดินทางอย่างใจหายใจคว่ำ นึกว่าจะเสียศูนย์ก่อนออกจากประเทศไทยซะแว้ววว..

เรื่องของเรื่องด้วยความเบลอของตัวเอง กะว่าจะไปจ่ายเงินค่าบัตรเครดิตก่อนไป เพราะไม่อยากเร่งรีบตอนกลับมา แต่ไหนได้ กลับกลายเป็นว่าทำให้เรื่องยุ่งเข้าไปใหญ่ เนื่องจากไปกดชื่อธนาคารผิด จากที่จะจ่ายให้บัตรกรุงไทย ดันไปจ่ายให้ซิตี้แบงค์ซะนี่ เงินก็เลยไม่เข้าที่ไหนทั้งสิ้น ลอยค้างเติ่งอยู่ที่ธนาคารกลางอย่างนั้น แทนที่จะได้มีเวลาเตรียมตัวจัดกระเป๋าเดินทางอย่างสบายใจ กลับต้องรีบวิ่งแจ้นออกไปทำเรื่องที่กรุงไทยให้เสร็จ หนำซ้ำเงินก็ยังไม่ได้จ่ายบัตร ต้องกลับไปจ่ายอีกทีโน่น เห่อ..เบลอจริงๆ ไม่ได้เล่นๆเรย(ที่ใจหายเพราะยอดจ่ายมิใช่น้อยเรย ตั้งห้าหมื่นหนึ่งแน่ะ..จ๊ากก)


แต่ก็ยังทำธุระเสร็จทันเวลา ไม่ตกเครื่อง มาถึงสุวรรณภูมตรงตามเวลาเช็คอินเป๊ะๆ เครื่องออกห้าโมงยี่สิบ ก็ถึงสามโมงยี่สิบห้าพอดี เป็นไงล่า..ฮ่า แล้วก็เลยเอาของขลังมาเจิมไดซะหน่อยก่อน เพราะพอเช็คอินเสด ตรวจพาสเรียบร้อยเข้าไปก็เจอนี่เรย รูปปั้นใหญ่ยักษ์ ต่างชาติพากันถ่ายรูปเป็นที่ระทึกใหญ่ เราก็เรยเอาด้วย เพราะสวยดีนะ ขอโทษที ไม่กล้าเอ่ยนามรูปปั้นอ่ะ เพราะกลัวเรียกชื่อท่านผิด แห่ะๆ .. ใครรู้ช่วยบอกที
ที่บอกว่าใหญ่น่ะ เชื่อหรือยัง ยาวด้วย ถ่ายมาได้ไม่หมดอ่ะ หางพญานาคทางขวาแล้วหัวก็อยู่ทางซ้ายโน่น แถมยังมีเทวดามายืนแบกกันอีกตั้งหลายองค์แน่ะ อยากรู้จริงๆ นี่ชื่อปฏิมากรรมอะไร ใครทำหนอ?
มาถึงสนามบิลเคแอลของสายการบินต้นทุนต่ำ ที่เขาแยกสนามบินให้อย่างเป็นทางการ ก็แอร์เอเซียนั่นแหละ แต่คราวนี้เขาพัฒนามั่กๆ เพราะบินถึงก่อนกำหนดตั้งสิบห้านาทีแน่ะ ไม่อยากเชื่อ มาถึงสองทุ่มสิบในเวลาท้องถิ่น เสียดายน่าจะเช็คเรื่องรถบัสมาด้วย เพราะยังมีเวลาถมนั่งรถบัสก็ถืงบ้านพ่อกินข้าวได้ทันเวลา แต่ไม่เป็นไร ไหนๆก็ตั้งใจจะไปจ่ายค่าแท็กซี่อยู่แล้ว นั่งแท็กซี่มาก็ด้าย สบายสุด ไม่มีติดไฟแดงให้เมื่อยตุ้มหรอก และนี่ก็เป็นวิวจากชั้นเก้า คอนโดของพ่อ มองลงมาเห็นรางรถไฟด้วยนะ ค่อนข้างสะดวกที่นี่ ติดกันเป็นห้างคาร์ฟูเรย
ที่ตึกติดกันก็เป็นคอนโดใหม่ๆ เพิ่งสร้างเสร็จ มีสระว่ายน้ำ สวนหย่อม สนามเด็กเล่นให้เจี๊ยวเรยข้างล่าง ถึงแม้เขาจะสร้างตึกติดๆกัน แต่มิมีจะร้อนหรอก เย็นสบายมั่กๆอากาศที่นี่ ห้องก็กว้างขวางพี้นที่ใช้สอยเยอะ ราคาก็ถูกกว่าที่กรุงเทพบ้านเราเท่าหนึ่ง อยากย้ายมาอยู่ที่นี่บ้างจัง แต่ไม่รู้จะทำอะไรกิน ?
และนี่ก็ห้องนอนเรา สีแดงๆนั่นเป็นผ้าม่านฉุกเฉิน ปกติไม่มีหรอก แต่เราอยากนอนตื่นสาย ไม่ค่อยถูกกับแสงที่แยงตา ต้องเอามาปิดไว้ก่อน ที่นี่มีสองห้องนอน สองห้องน้ำ แล้วก็ห้องโถงที่พอ่จัดเป็นห้องทำงาน ห้องกินข้าว และทำครัวด้วย
นี่ไง..พี้นที่ยืนยิ้มเผล่ที่ว่ามา โต๊ะตัวเนี้ยใช้ทั้งทำงานแล้วก็นั่งกินข้าวได้อย่างสบาย ฮ่า..ข้างหลังนั่นก็ประตูทางเข้าที่ล็อคได้สองชั้น ถ้ามีคนอยู่ก็จะเปิดประตูไม้ปิดแต่ประตูเหล็กแบบนั้นแหละ รับลมเย็นๆ ไม่ต้องเปิดแอร์เรยค่า อ้อ..หลังตู้กับข้าวไม้ เป็นห้องซักผ้าอีกด้วยนะ เครื่องซักผ้าเขาต้องการมุมส่วนตัวน่ะ

แกกำลังติดโทระสับอยู่ เราเรยแกล้งเอาหน้าเป็นฉากซะเรย ฮิฮิ วันนี้หลังจากตื่นสายๆกินแค่ผลไม้เล็กน้อย ก็ออกไปว่ายน้ำกัน เนื่องจากต้องเดินประมาณยี่สิบนาที แล้วค่อยว่ายน้ำอีกครึ่งชม. แล้วเดินกลับมาอีกยี่สิบนาที ทำให้หิวจนตาลาย หุงข้าวธัญพืช(ที่เราหอบจากเมืองไทยไปเอง)กินกะซุปญี่ปุ่นแล้วก็กิมจิ ผ่านไปแค่สองชม.แค่นั้น กะจะงีบซะหน่อย ทนไม่ไหว หิวอีกแระ ไม่ไหว ใช้พลังงานไปเยอะแฮะวันนี้
ดูจากอาการหมดสภาพของพ่อเราก็ได้ ฮ่า..ป่าวหรอก แกชอบนั่งหลับของแกแบบนี้แหละ แกบอกว่าสนุกดี ?!!? เออ..แต่แกมีของเล่นไฮโซอันหนึ่งให้เราลองทดสอบดูล่ะ โห..แจ่มอ่ะ หน้าตาก็เหมือนเครื่องชั่งนน.ทั่วไปล่ะ ตอนแรกเราก็ลองชั่งดู เอ๊ะ..ทำไมไม่เห็นตัวเลขวิ่ง นึกว่าเสียหรือไง วันนี้แกลองทำให้ดู ให้เรายืนชั่งนน.เช็คตัวเลขก่อน พอได้ตัวเลขเสร็จ ก็ถอดมือจับที่ติดกับเครื่องออกแล้วยกขึ้นมาให้ได้ระดับอก เครื่องก็จะวัดมาตราส่วนต่างๆของร่างกาย ผลที่ได้ของข้าพเจ้า ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2551 มีดังต่อไปนี้ ...


1. weight: 52.7 kg. (แต่ทำไมตอนเช็คที่เมืองไทยส่วนใหญ่ได้ 55 กก.ทั้งนั้นเรยฟระ?)
2. oil: 18.5% (ปริมาณความหนาแน่นของไขมัน..เริ่ดดดดค่า หายากมากเท่านี้ ส่วนใหญ่ 25 อัพ คิคิ)
3. physical age: 28 <<< อธิบายว่า สุขภาพร่างกายของข้าพเจ้ามีค่าเท่ากับคนอายุนี้...ว๊าวววว...อุเหม่...โหะๆๆๆ
4. BMI: 19.5 (เอานน.มาหารด้วยส่วนสูง แล้วก็หารด้วยส่วนสูงอีกครั้ง ผลออกมาเป็นแบบนี้ ยังไม่ค่อยเข้าใจดีเหมือนกัน)
5. qty of calorie(kg.) per day needs: 1,211 (ถ้าวันไหนได้จำนวนแคลลอรี่น้อยกว่านี้ วันนั้นขาดสารอาหารจ้า ต้องชดเชยด่วนๆๆ)
6. bone: 31.8% (อันนี้ก็ดีอีกมากๆ เพราะส่วนใหญ่จะได้ค่าความหนาแน่นน้อยกว่านี้ คือกระดูกจะเสิ่อมและอ่อนแอ แต่นี่แสดงว่า บึกบึนมั่กๆค่า)


......................จบข่าว.........................

วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

จะบินอีกแล้ว

คราวนี้ไปใกล้เหมือนเดิม ปีนี้ยังไม่ได้ไปไหนไกลๆซักทีเลย มัวแต่ใช้เวลา ใช้เงินอยู่ที่นี่ แห่ะ .. ทำเป็นมีเงินให้ใช้เยอะแยะอย่างนั้นแหละ

พอดีมีประชุมสินค้าใหม่ พร้อมเข้าอบรมสองวันที่มาเลเซีย เลยได้โอกาสไปเยี่ยมพ่อญี่ปุ่นเราด้วย เห็นแกถามมาตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้วว่ายังไม่มีโอกาสไปมาเลเซียหรอ? คงเหงาน่ะ ตามประสาคนแก่ ขนาดเรายังไม่แก่(มากเท่าไหร่)ยังเหงาได้ขนาดนี้ แล้วยิ่งแกอยู่คนเดียว ให้แกร่งยังไง แต่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวนานๆ ก็กร่อนได้เหมือนกันล่ะ เราเองก็คิดถึงแกเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้ว คิดไปคิดมา ก็มีพ่อคนนี้คนเดียวแหละ ที่เป็นผู้ชายคนเดียวในโลกนี้ที่ให้ความรักแก่เราโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ซึ่งขนาดเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันยังไม่เคยให้เราได้เลย แล้วทำไมเราจะรักและเคารพแกไม่ได้

ไปวันเสาร์ตอนเย็นแล้วล่ะ ตอนแรกว่าจะไปวันอาทิตย์ แต่พอมาดูเวลาเลยเปลี่ยนใจ ไม่อยากรีบร้อนเดินทาง ไปแบบชิวชิวดีกว่า ยังไงเราก็ไม่มีใครหรืออะไรให้รั้งอยู่ที่นี่อยู่แล้ว วันหยุดก็ทำตัวสบายๆ เดินเอื่อยๆลากกระเป๋าออกจากบ้านคนเดียวดีกว่าเนอะ ตอนกลับอาจจะเหนื่อย เพราะวันอาทิตย์กะวันจันทร์น่ะยังไม่ทำงาน ไปพักผ่อน ว่ายน้ำ กินข้าว อยู่กับพ่อก่อน แล้ววันอังคารกะวันพุธนั่นค่อยเป็นวันโหด อบรมสัมนาสองวันเลย ตอนเย็นวันพุธเสร็จก็กระโดดขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทยทันที ไม่มีเวลานอนเล่นที่โน่นอีกคืนแล้ว เพราะช่วงนี้งานเข้าเหมือนกัน ต้องรีบกลับมาเคลียร์ ทิ้งไปนานไม่ได้

แต่เด่วก็จะมีลายาวอีกล่ะ งานเลี้ยงฉลองสมรสแป้งกะนิโคที่บินมาจัดที่เชียงใหม่ กะไปอีก 6 วันเลยช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือน ตอนนี้ต้องรีบๆจัดการงานไปให้ราบก่อน

เอาล่ะ ได้เวลากินข้าว ทำจิตใจให้เบิกบาน พร้อมรับงานกันต่อไป ..

วันจันทร์ที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เก็บตก

อาจจะมีแต่บ่นๆๆๆ คนก็เลยไม่อยากรับรู้ เอาเรื่องธรรมดา ชิวๆมาเล่าแปะไว้ในนี้บ้างดีกว่า เผื่อว่าวันหลังผ่านมาอ่าน จะได้นึกออกว่ายังมีเรื่องสบายๆกะเขาอยู่บ้าง อิอิ
อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ผ่านอาการเมาน้ำตาไปเยอะ แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ไม่มีปัญหาใดๆ มาทำงานทุกวัน แต่มาสายทุกวันเช่นกัน ฮี่ๆ อันนี้ห้ามลอกเลียนแบบ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวผู้บริหารเยี่ยงข้าพเจ้า ก้อแหม..มันเหนื่อยน้า ทั้งงานนอก งานใน ยิ่งมีคนคอยทำร้ายความรู้สึกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งอ่อนแรง ทำให้ล้า ออกกำลังก็ไม่ได้ไปเหมือนที่เคย เพราะมันล้านี่ ก็อยากกลับบ้านไปนอน แต่ก็นอนไม่หลับอีก กว่าจะหลับก็ดึกดื่น แล้วกว่าจะตื่น ก็เลยสาย..เป็นธรรมดาเวียนไป กุกุ

จะบอกว่า เอารูปที่หน้ารร.ที่ไปพักที่พัทยามาให้ดู และพัทยาวันนี้ไม่แพงอย่างที่คิด เราจองผ่านเนตคืนละพันเดียวห้องอย่างหรู นอนได้สองคนสบายๆ หวานแหวว แต่ที่ไม่แหววเพราะเราต้องนอนคนเดียวนั่นแหละ แห่ะ..
ยิ้มได้ค่า สู้ๆๆ เสมอแม้เมื่อภัยมา ฮ่าๆ ไม่มีใครจะอึดไปกว่าผู้หญิงคนนี้อีกแย้ว พี่น้องเอ๋ย .. เอิ๊กๆๆ ตอนนั้นอยู่กันหลายคนนี้ ท้องก็อิ่มหนำสำราญบานตะไท อาหารอร่อยถูกปากถูกอกถูกใจสุดๆ ร้านนี้แนะนำเรย มุมอร่อย พัทยานาเกลือ ต้องไป!
แล้วเราก็หากันจนเจอ ไม่น่าเชื่อแฟนช้านจะหน้าตาหมดจรดขนาดนี้ สิวไม่มีซ้ากเม็ด แห่ะๆ ล้อเล่น ใครผ่านไปห้างรอแยลพัทยาก็สามารถแวะไปนั่งโอบกอดกะคุณเอลวิสสุดหล่อนี่ได้ทุกเมื่อแหละค่า คุณเทอยินดีต้อนรับเสมอ ไม่เกี่ยงแม้ว่าคุณจะเป็นสาวเล็กสาวใหญ่ สาวแท้ สาวไม่ถึงหรือยังไง เอ๊ะๆๆๆ

หมายเหตุ..เมื่อวันเสาร์อาทิตย์เจอกันแล้ว คุยกันเหมือนจะดีเหมือนเดิม ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลพระรามสองกันมาครึ่งวัน กินเสต็ค กินไอติม ว่าจะดูหนังแต่ก็รอไม่ไหว กลับบ้านดีกว่าเพราะเหนื่อยๆ แต่พอถึงบ้านจะแยกกัน ก็ทำเป็นมีปัญหาอีก เห่อ..ไม่อยากไปบ้าจี้ตามคนบ้าอีกแล้วอ่ะ ปล่อยให้มานบ้าไป ช้านขอทำแต่เรื่องดีๆ สบายใจไปคนเดียวก่อนแล้วกัน

วันเสาร์ที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

เมื่อไม่มีใคร

ก็เป็นธรรมดา ที่จะต้องเหงา ...

ความเหงาเป็นเพื่อนกับเรามาตั้งแต่เกิดแล้ว ในขณะที่คนอื่นๆเขามีครอบครัว มีความสุขหัวเราะเบิกบาน มีคนคอยให้กำลังใจเวลากลับไปถึงบ้าน แต่เรากลับตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเดินคอตกกลับไปขนาดไหน ก็อย่าได้หวังว่าจะมีใครคอยถามไถ่ เพราะมันไม่มีใครจริงๆ

และถึงแม้วันนี้ เวลาจะผ่านล่วงเลยมายาวนานตามอายุที่มากขึ้น แต่เราก็ยังคงเหมือนเดิม คือ .. ไม่มีใคร ไม่ว่าเวลาที่เราต้องการคนช่วยคิด หรือช่วยทำให้ผ่านความยากลำบากแค่ไหน ไม่ว่าจะสาหัสสากรรณ์สักเพียงใด ก็คงต้องทำใจ ว่า..เราไม่มีใคร จริงๆ

ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้ง ไม่ว่าจะหวังสูงหรือต่ำต้อยสักเพียงใด ก็ไม่เคยได้สมหวังกับคนอื่นเขาสักครั้ง เราคงเป็นคนที่สังคมหันหน้าหนีมากที่สุดคนหนึ่งละมั้ง เพราะมองไปทางไหน เขาก็เดินจากเราไปกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก จากที่เคยรู้สึกผูกพันธ์ฉันพี่น้อง กลับกลายเป็นห่างหายร้างราหนีหน้ากันไปได้ และคงหวังอีกไม่ได้เช่นกัน ว่าจะพบเจอเพื่อนที่จริงจังจริงใจกับเราตอนนี้ เพราะเท่าที่ผ่านมา พบเจอเพื่อนในที่ทำงาน ล้วนแล้วแต่ใส่หน้ากากเข้าหากันทั้งนั้น เจ็บและทนกับสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด แต่ก็ทำอะไรใครเขาไม่ได้หรอก เพราะเราเป็นได้แค่นี้ไง

หวังไว้แค่เล็กๆ ว่าจะมีใครสักคนที่รักเราจริง หรือมันเป็นความหวังที่สูงส่งเกินตัวเราไปจริงๆ จึงไม่เคยที่จะสมหวังเลยแม้แต่เฉียดใกล้ ยิ่งเราใส่ใจพยายามกับความรักมากเท่าใด เรามักจะได้รับการตอบกลับที่ตรงกันข้ามเสมอไปทุกครั้ง เคยเจ็บและชา หรือที่เราเรียกว่า ช็อค กับสิ่งที่คนรักหยิบยื่นให้ยาวนานเป็นอาทิตย์ๆเลยก็เป็นมาแล้ว บอกตัวเองเมื่อแผลกลายเป็นแผลเป็นแล้วว่า คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วล่ะ แต่มันก็ยังเจอแต่สิ่งแย่ๆ ต่อมาจนได้

ล่าสุดเราพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด ที่เราไม่เคยทำให้ใครมาก่อนในชีวิต รักและพยายามประคับประคองทุกอย่างมาโดยตลอด แต่สิ่งที่ได้รับ กลับคือการปฏิเสธ อยากจะหลีกหนี อยากจะไปมีคนใหม่ (แต่อยากจะเก็บเราเอาไว้ใช้ประโยชน์ก่อนจนกว่าจะแน่ใจ)

นี่หรือ..คือสิ่งที่เราควรจะได้รับ ทั้งที่มั่นใจว่า ไม่เคยทำร้ายใครด้วยความตั้งใจเลยสักครั้ง มีแต่ความจริงใจ ความรักที่ไม่ผสมสิ่งอื่นหยิบยื่นให้ แต่เท่าที่เราได้ แท้จริงกลับกลายเป็นแต่หนามแหลมคม คอยทิ่มแทง เพิ่มความเจ็บปวดให้เรื่อยมา

ก็ขอเพียงว่า อย่าทำร้ายกันมากเกินไปกว่านี้เลย ในเมื่อไม่มีใครแล้ว เราก็ควรอยู่กับความสุขแบบเงียบๆ เหงาๆของเราแต่เพียงลำพัง ขอแค่นั้นล่ะ...

วันศุกร์ที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ช่วงสัมนาผู้นำประจำชาติ


ว่างแระ จากภาระอันหนักหน่วง แต่คงว่างเป็นช่วงๆ ไม่น่าเกินหนึ่งอาทิตย์ เพราะเดี๋ยวก็ต้องมีงานใหม่เข้ามาให้ทำเรื่อยๆแหละ

เพิ่งจะเสร็จสิ้นการประชุมผู้นำประจำชาติ เอ้ย..จริงๆนะ ประจำทั้งหมด 6 ชาติด้วยกัน แต่มีแพลมเข้ามาอีกหนึ่ง ทั้งหมดอันได้แก่ ไทย เมกา ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และแพลม อินเดีย เข้ามาด้วย ดังนั้น พอช่วงที่เราไปนั่งชมพิธีเปิดโอลิมปิคกันในร้านอาหาร โต๊ะอื่นๆในร้านเลยต้องหันมามองกันหลายรอบหน่อย เพราะไม่ว่าประเทศไหนที่ว่า เดินออกมา โต๊ะนี้เป็นต้อง เฮ!!! กันทู๊กทีสิน่า

จองลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาพาไปกินดินเนอร์สุดอลัง ของกินเยอะมั่กมากกกกก เลือกไม่ถูก กินยังไงก็กินไม่หมด งานนี้อิ่มแปร้กันถ้วนหน้า มีแต่คนชมยิ้มไม่หุบ


จะบอกว่า หลักๆของงานเราเป็นคนจัดการเองทุกอย่าง ไม่ยากอย่างที่คิดหรอก แค่เตรียมคิดล่วงหน้าไว้หน่อย แล้วอาจจะอาศัยว่าเคยมีประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวมาบ้าง เลยรู้แหล่ง รู้ราคา สามารถควบคุมงบประมาณได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากที่คิดคำนวณเบ็ดเสร็จเมื่อวานนี้ เจ้านายถึงกับชมเปาะ ว่าจัดการได้ยอดเยี่ยมมากกก(แต่ก็มีต่อว่าเล็กน้อยจากเจ้านายคนที่สอง ชิชิ แต่เรื่องเล็กน้อยอื่นๆ ไม่สน) ทั้งหมดที่หารกันแค่ 11 คน แต่เชิญคนที่มาร่วมกิน ร่วมพักที่รร.ด้วย มากกว่านั้นเยอะ เอาเป็นว่าหารแค่ 11 ตกคนละ 11.900 บาท เองง่ะ ถูกมั่กๆ ถ้ารวมเวลาทั้งหมด 6 วันครึ่ง พักรร.ในสุขุมวิท 4 คืน พักรร.ที่พัทยา 2 คืน เช่ารถตู้ 2 คัน พร้อมค่าน้ำมันรถ ค่าอาหารทุกมื้ออย่างหรู มีอยู่คืนหนึ่งล่อฮาร์ดร๊อคคาเฟ่พัทยาเลยเชียวคุณ

อย่างงี้น่าจัดทัวร์เองเนอะ มิน่า บริษัททัวร์มันถึงได้เกิดแข่งกันเป็นว่าเล่น ได้กำไรอื้อซ่า บานตะไทแบบนี้นี่เอง สมมุติ มานจัดทัวร์ 3 วัน 2 คืน เก็บคนล่ะ 5000 บาท มานได้กำไรเกินครึ่งแล้วนั่น ช่างเขาเหอะ อาชีพเขานี่เนอะ

อิ่มหนำสำราญบานตะไทกันหลังจากคร่ำเคร่งกับการประชุมมาแล้วเต็มๆสองวัน พัทยาวันอาทิตย์ค่อยทำให้ยิ้มออกหน่อย


แต่เสียดายอย่างสุดซื้ง ในช่วงที่เราต้องยุ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดประชุมสัมนานี้ น้องเบบี๋ก็จัดพิธีวิวาห์ตรงกันเด๊ะๆเลย ทำให้เจ้ไม่สามารถไปร่วมงานได้เด็ดๆ เสียดายมั่กมาก แต่ได้เข้าไปดูรูปบางส่วนในบลอคแล้ว ขอบอกว่า สวยงาม น่ารัก หวานสดชื่นกันสุดๆ เห็นแล้วยิ่งเสียดายใหญ่ที่ไม่ได้ไปง่ะ ฮือออ

ช่วงนี้ บางทีอารมณ์มีขึ้นมีลง อย่าถือสากันนะ ถ้าเข้ามาอ่านแล้วก็ให้ทำใจหน่อย เพราะชีวิตแปรปรวน เจอหลายมรสุมเหลือเกิน อิอิ ไว้จะพยายามเข้ามาอัพเรื่องราวของตัวเองให้มากกว่านี้แล้ว เพราะการได้อยู่กับตัวเอง ทำให้เราสบายใจกว่าการแบกรับปัญหาจากคนอื่นเยอะแยะ

จะเลือกทุกข์หรือสุข ล่ะ เนอะ ...

วันเสาร์ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

i'm what i'm

i'm just a shit!...
even i knew there will be someday to hurt like before, but i still want to try...
even all friends are gone, but i still believe there will be someone who want and care about me..
even my past told me to be alone, but i still want to find..
even nobody love me, but i still hope there should be someone..
i'm wrong! it's not what i hope and dream.
coz i'm just a shit!
that's why nobody want to be with me.
not at all!
no friend!
no love!
they are gone...
in this world, i'd like to thanks to someone who shown me real good care .. they are only...
my god-father(oto-san), the only one man in this world who give me little love but so big for me
my dear friend...pang, baby, ying
that's all i can share my sadness with. otherwise, there is only me myself. i only have to take care all my feeling and health alone. i have to stand on my feet. even someday when i sick and i will be alone in the hospital again. i have to accept it! liked it happen before...
coz i'm just a shit!