วันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

งาน

ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการทำงาน ในขณะที่ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก

คนอื่นอาจจะบอกอีกอย่างว่า คิดอย่างนี้ไม่ถูก เราควรคิดว่าการทำงานคือ สิ่งแรกที่ควรคิดถึงและพึงกระทำให้ได้มากที่สุด

แต่เราว่า การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จะไม่มีค่าและความหมายอะไรให้จดจำมากนัก ถ้าทุกวันทุกเวลา ต้องมุ่งหน้าทำแต่งาน ทำแต่สิ่งที่เพื่อจะให้บรรลุเป้าหมาย

บางครั้ง ความสุขที่แท้จริง อาจอยู่เพียงแค่การนอนหลับตานิ่งๆ หวนนึกถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาก็ได้

แต่ขณะนี้ เราทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงแม้ว่าควรแก่เวลาที่ต้องทำแล้วก็ตาม

เรายังต้องทำงาน ซึ่งก็หาข้ออ้างทางธุรกิจอื่นๆไม่ได้ว่า ไม่มีเวลาทำ และจะต้องทำให้ได้มากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เนื่องด้วยภาระหน้าที่อันหนักหนาสาหัส ไม่ทำตอนนี้ ก็ไม่มีคนทำตอนไหนทั้งนั้น

คาดหวังไว้ว่า ปีใหม่นี้จะเริ่มต้นด้วยพนักงานใหม่อีกอย่างน้อย 2 คน และคนเก่าที่ทำท่าเหมือนจะไม่ทำงานแล้ว จะอยากกลับมากระตือรือล้นทำต่อไป

ขอเพียงให้ทุกอย่างลงตัวอีกสักพัก ไม่หวังอะไรมากไปกว่านี้หรอก

เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะได้มีความสุขจริงๆเสียที ...

วันเสาร์ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เพื่อนเก่า

ดีจัง มีเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ เป็นความเหงา..

ไม่เคยห่างหายไปไหนจากเราได้นานเกินลืม เดี๋ยวเดียวก็กลับมาอยู่เป็นเพื่อนกันอีกแล้วนะ เจ้าความเหงาเนี่ย คนอื่นไม่รู้เขาจะคิดยังไงกับมัน แต่เราว่า ถ้าไม่มีมันมานอนด้วยซักคืน เราคงรู้สึกแปลกไปจากเดิมเยอะอ่ะ

พอโตๆกันขึ้นมา อะไรๆที่เคยเป็นอยู่กันแบบง่ายๆ มันก็กลับกลายเป็นเรื่องยากเย็นขึ้นมาซะเฉยๆ จากที่เคยพูดกันแค่ไม่กี่คำก็รู้เรื่อง กลายเป็นว่าต้องเรียกมานั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ถึงขนาดนั้นแล้วบางที ยังไม่เหลือคำว่า เพื่อน ไว้ให้เชื่อใจในคำพูดกันอีกแน่ะ

แล้วนี่ยิ่งโตขึ้น เราจะเรียก เพื่อนที่เป็นมนุษย์แบบเราๆ ว่า เพื่อนเก่า ได้ยังไง ?

ก็คงมีแต่ เจ้าเพื่อนเก่าที่เป็น ความเหงา นั่นแหละ ที่คงอยู่กับเราตลอดมาและคงจะตลอดไป

วันอังคารที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

เวลา

บางที วันเวลาที่ผ่านไป มันก็ทำให้เราเวียนกลับมาอยู่ที่จุดเดิมได้อีกเหมือนกันนะ

เรื่องราวที่ผ่านมาในช่วงเดือนที่แล้ว เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ทั้งที่เกิดขึ้นจริงแบบตื่นๆ และแบบหลับๆ

เรื่องที่เคยฝันมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา อยู่ๆมันก็เกิดขึ้นได้แบบไม่ทันตั้งตัว คือเรื่อง พ่อ(แท้ๆ) ของตัวเอง ซึ่งหายไปจากชีวิตเราอย่างยาวนาน แต่ไม่เคยหายไปจากใจเราหรอก เพราะเรามักจะมั่นใจว่า วันหนึ่ง พ่อจะต้องกลับมาอยู่ด้วยกันอีก

และวันนี้ พ่อก็กลับมาแล้ว ..

แต่มาในสภาพที่พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ กินอาหารเองไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พูดง่ายๆคือ เป็นอัมพาตไปครึ่งตัว!

เราไม่ถึงกับตกใจจนไม่มีสติ เพราะคนวัยนี้แล้ว ย่อมต้องประสบกับความเจ็บป่วย อายุพ่อปีนี้ 74 เข้าไปแล้ว แค่ยังหวังเล็กน้อย ว่าแกจะกลับมาพูดได้บ้างเหมือนเดิม

เพราะเราไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวของพ่อเลย ถ้าเวลาช่วงบั้นปลายของชีวิตแล้ว เรายังไม่ได้ยินได้ฟังจากปากเขา ชาตินี้ เราก็คงไม่รู้จักเขาจริงๆเสียที แต่ไม่เป็นไร ถ้าอะไรจะเกิด ก็ต้องเป็นไปตามนั้นล่ะ ฝืนมันคงไม่ได้

ช่วงชีวิตของเรา คงเวียนกลับมาเป็นเหมือนตอนอายุสิบกว่าๆอีกครั้ง ตอนที่เราไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครเลย แต่แค่เพียงเรารับรู้ได้ ว่าภาระอันหนักอึ้งที่แบกไว้บนบ่านี้นั้น จะต้องคงอยู่และทำตกหล่นหายไปไหนไม่ได้เป็นอันขาด

และเรา .. ก็คงต้องเดินต่อไป เพียงลำพัง ไม่ใช่แค่ เพราะเราไม่มีใคร แต่.. เราไม่สามารถมีใครได้ต่างหาก !

วันศุกร์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

ครั้งหนึ่ง...

ครั้งหนึ่ง..ซึ่งเราเคยได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
...

มันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ


แม้อาจไม่สวยหรู ไม่งดงามเหมือนดั่งที่วาดฝัน
...
และยังพบกับปัญหาทีไม่มีทางออก


แต่เรา ก็สามารถมีช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกันได้


สามารถเก็บเกี่ยวความงดงามของสิ่งรอบกาย มาไว้ในใจ
...
สามารถเพิ่มพูนความรัก ความสัมพันธ์อันยาวนานให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
...
มีความห่วงใย ให้แก่กันมากยิ่งขึ้น

มีรอยยิ้ม มีความเอื้ออาทรที่พร้อมจะหยิบยื่นให้อย่างเต็มใจ

มิตรภาพเล็กๆ ก่อกำเนิดขึ้นได้


ท่ามกลางความสับสนในใจ

ท่ามกลางความลังเล และไม่มีอะไรมั่นคง
...
เรายังมีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ


มีความร่วมมือ ร่วมใจ เพื่อไปให้ถึงจุดหมายด้วยกัน

และ..แม้จะต้องก้าวเดินไปตามทางของแต่ละคน

เราก็ยังคงเก็บความทรงจำในครั้งนั้นไว้

เพื่อ รอยยิ้มในวันข้างหน้า ที่ต้องมีซักวันหนึ่ง ซึ่งเราหวนรำลึกถึงช่วงเวลานี้

อิตาลี่ในฝัน

วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

The Roman Forum

วันนี้มาเต็ม..เต็มกับ Colosseum และ อาณาจักรโรมัน กัน
ย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณสองพันกว่าปี ที่อาณาจักรโรมันถือได้ว่าเป็นอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ที่สุด มีกษัตรย์ผู้ปกครองซึ่งล้วนแล้วแต่เก่งกาจ นำพาอาณาจักรไปสู่ความรุ่งเรืองมิรู้จบสิ้น

และบริเวณนี้ นี่เอง ถูกแบ่งแยกออกมาจากกรุงโรมโดยมีรายรั้วรอบด้านกั้นแบ่ง ได้ชื่อเรียกกันว่า Colosseum และ The Roman Forum

การจะเดินสำรวจให้ทั่วบริเวณColosseum และ อาณาจักรโรมัน จะต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวันเต็มๆเลยเชียว เพราะความจริง บริเวณแห่งนี้ก็คือเมืองเล็กๆอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งสภาพสิ่งก่อสร้างยังคงมีอยู่ให้เห็นอย่างเต็มตา
แต่ปริมาณของนักท่องเที่ยวก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบริเวณที่กว้างขวาง อดยิ้มนิดๆไม่ได้ เพราะคิดว่าจะไม่ได้ยินภาษาไทยที่นั่นซะแล้ว แต่เดินๆไป ก็เจอแม่-ลูกคู่หนึ่ง กำลังบอกเล่าโน่นนี่กันเป็นภาษาไทย ซึ่งเขาเองก็คงไม่คิดว่าจะมีใครเข้าใจเหมือนกัน (ดีนะ ที่ไม่นินทาเรา)
จุดนั่งพักบนชั้นสองของขอบกำแพง หลังจากที่เดินวนโดยรอบบริเวณ ก็จะมีบรรไดให้ไต่ขึ้นไปชมที่สูงๆขึ้นไปอีก หรือ ไม่ก็ลงใต้ดินไปเลย
The Arch of Constantine ประตูนี้ สวยงามที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมา ความวิจิตรบรรจงของงานศิลปที่ตรึงติดอยู่บนนั้น ทำให้รู้สึกได้ถึงความอดทน และความบากบั่นเพื่อสร้างสิ่งที่เขาภาคภูมิใจ
การได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น มันเหมือนมีมนต์ขลัง เหมือนมีพลังอะไรซักอย่าง บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าเหมือนเราได้ดูดซับช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ไปจริงๆประวัติและที่มาต่างๆของสิ่งก่อสร้างทุกสิ่งในอาณาเขตอาณาจักรโรมัน มีชื่อเรียกและเรื่องราวทุกอย่าง แต่ถ้าจะให้เราเล่าให้ฟังก็คงต้องละไว้ เพราะเกรงว่าจะไปทำให้เรื่องราวเขาบิดเบือนซะ อย่างเช่น จุดนี้เป็นโบสถ์ซึ่งสร้างขึ้นทีหลัง ประมาณหนึ่งพันกว่าปี ปัจจุบันยังมีนักบวชอาศัยอยู่ข้างในเพื่อดูแลสภาพต่างๆให้คงไว้
จุดนี้เป็นบริเวณกลางๆของอาณาเขต จากในรูปตอนนั้นไม่หนาวเท่าไหร่แล้ว เพราะเดินมาก ไต่บรรไดก็เยอะ ทำให้อยากถอดเสื้อกันหนาวเหมือนกัน(แต่ใส่ไว้ดีกว่า น้องบีบี๋จะได้ชื่นใจ) ฮ่า..แต่ลองถอดแป๊บเดียว ก็ต้องใส่เหมือนเดิมละ เวลาลมมาทีก็สั่นทุกทีค่ะ
บริเวณเดียวกันละ หันมุมกล้องมาทางซ้ายอีกนิดแค่นั้น เราเดินเข้าไปสำรวจที่ลึกๆอย่างข้างในนั่นไม่ไหวจริงๆนะ คาดว่าน่าจะมีสิ่งก่อสร้างเป็นวัตถุโบราณเยอะแยะมากมาย
มองจากลานกว้างตรงกลางของอาณาเขตไปทางด้านใน จะเจออาคารนี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เป็นที่ทำการของผู้ปกครองอาณาจักรโรมัน
และนี่ .. คือบริเวณรอบด้านนอกของColosseum ที่ซึ่งด้านในเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว เคยใช้เป็นเวทีการแสดงการต่อสู้ ทั้งคน นักรบ สัตว์ สิงโต ที่ซึ่งเคยมีกษัตริย์โรมันประทับชมอยู่หลายช่วงอายุ
วนไปอีกหน่อย มีสัญลักษณ์ไม้กางเขนสลักอยู่(นึกถืงสนามราชมังคลาบ้านเรามะ?)
โดยรวมแล้ว เราค่อนข้างทึ่งกับสิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นอย่างมาก นึกย้อนกลับไปว่าเขาทำได้อย่างไร ในเมื่อตอนนั้นมนุษย์ยังรู้จักโลกเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่นั่นแหละ ที่ทำให้เขาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุด เพราะความสามารถอันเก่งกาจนี่เอง
รูปนี้จะเห็นความกว้างของอาณาจักรมากหน่อย โดยรวมแล้วถือว่าอิตาลี่รักษาทุกอย่างไว้ใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุดจริงๆ
รอบนอกด้านในสุด(ไม่อยากจะบอกเลยว่าใกล้กับสุขา) เราเห็นมีหลุมฝังศพเรียงรายอยู่ประมาณ 5-6 หลุม จึงอยากถ่ายไว้เป็นทีระทึกหน่อย ข้างหลังเราที่เป็นพื้นเรียบๆนั่นแหละ
จุดนี้เป็นจุดชมวิวก็ว่าได้ เพราะถ่ายรูปมาจะได้วิวกว้างๆแบบที่เห็น แต่ต้องปีนบรรไดกันก่อนนะ
บริเวณด้านหน้าใกล้ๆกับประตูคิวซื้อตั๋วเข้าชมภายในColosseum ที่เห็นในรูปยังนับว่ากำจัดนักท่องเที่ยวออกไปจากสายตาได้เยอะแล้วนะ อ้อ..ที่นี่ ตามสถานที่ท่องเที่ยว ก็จะมีพวกหัวหมอคิดวิธีหาเงินได้อย่างเท่ๆอีกอย่าง คือการแต่งตัวให้เข้ากับสถานที่ เช่นที่นี่ก็แต่งเป็นนักรบโรมัน ถือดาบมายืนคอยเป็นนายแบบให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย แต่ถ้าใครหลงไปถ่าย โดนฟันหัวแบะเรยค่า รูปละเป็นพัน!
ตอนนี้เราเข้ามาในตัวอาคารซึ่งเคยเป็นที่กักตัวของกษัตริย์และนักบุญแห่งอาณาจักรต่างๆ ซึ่งต้องโทษเป็นเชลยศึกให้กับโรมันแล้ว เราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าคนที่เคยโดนกักขังที่นี่จะเป็นเชลยศึกอย่างเดียวหรือเปล่านะ แต่เขามีรายชื่อของผู้ที่โดนสำเร็จโทษสลักไว้บนแผ่นศิลาด้วย อ่านแล้วก็เจอแต่ชื่อกษัตริย์กับนักบวชทั้งนั้น
แต่ที่สนใจ คือ สถานที่เก็บโครงกระดูกของนักบุญท่านนี้ เซนต์ปีเตอร์(ถ้าจำชื่อผิดขออภัยอย่างแรง)เพราะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพลังของท่านด้วยว่า ไม่ใช่คนธรรมดา เรายังเห็นรอยมือที่ประทับลึก บุ๋มเข้าไปในกำแพงหินสีคล้ำๆได้เลย ป้จจุบันเจ้าหน้าที่ได้เอากรงมาครอบไว้เพื่อกันไม่ให้แตะต้อง แต่เราก็ยังแอบยื่นนิ้วเข้าไปจิ้มๆนิดหนึ่ง เล่าว่า ท่านใช้ฝ่ามือธรรมดานี่แหละ ทะลวงกำแพงหินนั่น และรอยสีคล้ำๆที่เห็นก็คือรอยเลือดจากมือท่านเอง ตอนนั้นเกิดจากการที่ท่านต้องโทษจากความผิดที่ไม่ได้ทำ และจึงบรรดาลโทษะทำให้เกิดปาฏิหารย์นี้ขึ้น
อีกหนึ่งปาฏิหารย์ที่เล่ากัน คือว่า ห้องนี้เป็นห้องใต้ดินที่ท่านนักบุญถูกคุมขังเป็นเวลานาน และไม่มีการส่งข้าวส่งน้ำ ที่สำคัญนักบุญต้องทำกิจแห่งพระเจ้า โดยใช้น้ำในอ่างมาจุ่ม ซึ่งอยู่มาวันหนึ่ง ก็เกิดน้ำหยดลงมาจากใต้เพดานของห้องใต้ดินนี้ บริเวณใกล้ๆกับหัวของผู้ชายคนนั้นแหละ โดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่มีที่มา ว่า น้ำ มาได้อย่างไร?

ดังกล่าว ท่านนักบุญจึงประกอบกิจแห่งพระเจ้าได้ สำเร็จลุล่วง และถือเป็นปาฏิหารย์ที่ยังเล่าสืบกันมาแห่งกรุงโรมัน ตราบจนทุกวันนี้



วันพุธที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

นครวาติกัน

ถ้านับประเทศที่เล็กที่สุดในโลก หลายคนคงรู้แล้วว่าคือที่นี่ "กรุงวาติกัน" อันมีเขตแดนเชื่อมต่อเดินผ่านเข้าออกได้ที่กรุงโรมเลย

สองสามี-ภรรยา นิโค-แป้ง เพื่อนที่แสนดีของเราทั้งคู่ กำลังยืนชื่นชมบรรยากาศ หลังจากที่ฟันฝ่า ไต่ขั้นบรรไดกันขึ้นมาทั้งหมด 320 ขั้น จะไม่ให้น่องโป่ง ขาลาก เส้นเอ็นกระตุก ได้ยังงัยล่ะค่ะ ก็เดินกันซะขนาดนี้เนี่ย!
หันมาอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นบริเวณส่วนตัวของวาติกัน คาดว่าน่าจะเป็นส่วนที่บรรดานักบวชและโป๊ปใช้อยู่อาศัยและทำงานร่วมกัน เราก็พยายามเล็งว่า ข้างล่างนั่นมันเป็นสัญลักษณ์อะไร แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดี แต่สวยมาก ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเอกลักษณ์ไปหมด

บริเวณด้านในของโดมซึ่งมองไม่ค่อยชัดหรอก เพราะไม่ได้เปิดแฟลช ถ่ายออกมาเลยมืดๆแบบนี้แหละ เลยไม่รู้เรยว่า เขาคือใคร? ฮี่ๆ ฮ่า..อันนี้เป็นด้านหน้าทางเข้าของกรุงวาติกันเลยค่า ตอนถ่ายมาเหมือนจะว่างๆนะ แต่..พี่น้อง นักท่องเที่ยวโค ตะ ระ เยอะๆๆๆๆๆ มหาศาลเลยเจ้าค่า แค่ยืนรอต่อคิวซื้อตั๋วเข้าไปชม เป็นชม.แล้ว
ดูกันไปพลางๆ บรรดารูปปั้น หรือเสาที่มีรูปปั้นต่างๆ ช่างเยอะแยะมากมาย จนจำไม่หวาดไม่ไหว ทั้งที่ความจริงเขามีชื่อเฉพาะกันทั้งนั้นนะ ขอโทดทีค่า ทั่นผู้ชม --"
ตรงนี้ก็เป็นด้านหน้าอยู่ค่ะ แต่ว่าหันหลังกลับไปดูบริเวณที่เวลาเขามีงาน แล้วผู้คนจะเข้ามานั่งชุมนุมรอโป๊ปกันอย่างเนืองแน่น แบบเวลาเรานั่งรอในหลวงของเราอ่ะค่ะ
ในระหว่างรอ ร๊อ รอ ต่อคิวเข้าแถว สายตาเราก็เหลือบไปเห็นตุ๊กตาน่ารัก แก้มป่องข้างหน้า พอพ่อเขาหันหน้ามานะ รู้เลยว่าลูกใคร? ฮ่า เหมือนกันเดี๊ยๆ ตอนที่ยังไม่สามารถผ่านเข้าไปภายในได้ แต่เราสามารถหันกล้องถ่ายเก็บบรรยากาศตัวอาคารมาก่อน รู้สึกว่าช่วงนี้ หลายๆที่ในอิตาลี่กำลังอยู่ในระหว่างปฏิสังขร บูรณะกันใหม่ เลยดูเหมือนยังไม่เสร็จยังไงๆอยู่
จุดนี้เป็นจุดที่สูงเกือบที่สุด เพราะพอเราไต่บรรไดกันขึ้นมาเกือบถึงยอดโดม เขาก็จะมีช่วงต่อให้ได้เดินวนเข้าไปชมตัวโดมภายใน แล้วก็มองขึ้นไปเห็นปล่องซึ่งมีแสงส่องตรงลงมาแบบนั้น สวยงาม อลังการมากค่ะ
และ..นี่!! นครวาติกัน เมืองแห่งศาสนาคริสต์
ด้านบนของโดม มีขายของที่ระลึก กับพวกโปสการ์ด พร้อมส่งได้เลย เสียดายอีกแล้ว ไม่ได้เอาที่อยู่ใครไปเลย จำได้แต่ที่อยู่ของออฟฟิสที่เดียว เลยส่งได้ใบเดียว ฮี่ๆ

ความสวยงามของ นครวาติกัน จะยังคงอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป!


วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐

all about Roma

ได้เวลาชมความงามและศิลปของอิตาลี่ ณ กรุงโรมกันวันนี้ พยายามจะอัพโหลดรูปให้ได้มากที่สุดแล้วล่ะ แต่ถ้าอัพมากไปกว่านี้ เกรงว่าจะเบื่อกันเสียก่อน อิอิ ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่าเนอะ ขอบอกว่า ไม่ได้เรียงวัน และเวลานะจ๊ะ คำอธิบายใต้ภาพตามนั้นเลย

เอ้า..เร่เข้ามาดู มาชมกัน เร้ว...!!!

โบกมือหยอยๆ อยู่หน้า The Vittorio Emanuele II Monument แต่ไม่รู้จะเรียกใครดี เอาเป็นว่าเรียกเพื่อนๆน้องๆให้มาชมกรุงโรมผ่านไดนี้แล้วกันเนอะ อ้อ..ตรงนี้เป็นจุดเดียวกับรูปใหญ่ที่เขาเรียกว่า ส่วนหัว นะ (แต่ทำไมมันไปอยู่ตูดก้อม่ายรุ?)

ดูกันใกล้ๆ รูปปั้นด้านหน้าของ The Vittorio Emanuele II Monument มีทหารยืนคุ้มกันแน่นหนา เพราะวันที่ไป มีโลงศพของใครไม่รู้ แต่น่าจะเป็นผู้ที่ชาวอิตาลี่ยกย่อง มาตั้งเด่นเป็นสง่า

ตรงนี้เป็นด้านหลังของ The Vittorio Emanuele II Monument อืมม...เด่วให้ดูภาพสถานการณ์ที่อิตาลี่ตื่นตัวไปกับโลกด้วย

นี่ไง ! เห็นใหม? ว่ารูปใคร เขาสนับสนุน คุณออง ซาน ซูจี กันเห็นๆ เพราะอิตาลี่เขาค่อนข้างเป็นประชาธิปไตยเอามากๆ

ตอนแรกที่ถ่ายเพราะเห็นนกสองตัวมาเกาะอยู่บนหัวของรูปปั้นท่านคนนั้นอ่ะค่ะ นี่ยังอยู่บริเวณเดิมเลยนะ

Piazza del Popolo นี่เป็นวันแรกแห่งการเดินน่องโป่งค่ะ



บริเวณ Piazza del Popolo มีลานกว้างขวางนั่งเล่นกันได้สบาย จึงมีพวกเด็กนักศึกษาหนีเรียนมานั่งจับกลุ่มกันเต็มไปหมด (ส่วนเราก็หนีงานไปด้วยเหมือนกัน คริ คริ)

Piazza del Popolo เห็นใหมว่าของเขาใหญ่จริง

นั่งถอนหายใจอยู่บนบรรไดของ The Compidoglio with the monumental steps

ไม่อยากบอกว่านี่เป็นจุดแรกที่เราไปเหยียบในวันน่องโป่งเลย
Piazza di Spagna and the Church of the Trinita' del Monti
รูปที่ยืนถ่ายสามคนกับแป้งแล้วก็นิโค ก้เป้นด้านหน้าของจุดนี้แหละ

สองหนุ่มกำลังยืนสำรวจตรวจตรา หรือจะว่าไปกำลังถกกันเรื่องของภาษาที่สลักอยู่บนกำแพงก็เป็นได้

จุดนี้เป็นจุดที่ถ่ายจากด้านหน้า Piazza di Spagna น่ะ จะมองไปเห็นตึกรามร้านค้า และบรรดาผู้คน ขอบอกว่าใครไม่อึดอย่าไปอิตาลี่นะคระ เพราะว่าแค่นักท่องเที่ยวที่ล้นหลามในแต่วันก็สามารถทำให้คุณเป็นลมแดดชักกระตุกเป็นง่อยเดินไม่ได้ไปหลายวันแล้วล่ะ

กู๊ดไนท์ เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน